วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

บิดอะฮคืออะไร



บิดอะฮคืออะไร

ต่อคำถามนี้ เชื่อว่าในยุคสมัยนี้ผู้ใหญ่หลายคนคงต้องเคยได้ยินและรู้จักคำๆ นี้ดี แต่เพื่อให้เป็นพื้นฐานความเข้าใจที่ดีและถูกต้องของทั้งหมดคงต้องชี้แจงความหมายของคำว่า บิดอะห์โดยสังเขปเสียก่อน

บิดอะห์ คืออุตริกรรมในศาสนาอิสลาม ซึ่งหมายความว่า ความเชื่อใดก็แล้วแต่, อิบาดะฮ์ใดก็ตามที่ถือกำเนิดขึ้นมาในศาสนา โดยมีได้อิงกับตัวบทหลักฐานที่ชัดเจน หรือในลักษณะชี้นำใดๆ ทั้งสิ้น และเกิดขึ้นหลังพ้นยุคสมัยของท่านรอซูลุลลอฮ์และบรรดาคอลีฟะห์ทั้งสี่ โดยมีความเชื่อความเข้าใจหรือการยึดถือปฏิบัติเยี่ยงเดียวกับศาสานาที่แท้จริงของอัลลอฮ์ เช่น เชื่อว่าหากทำอุตริกรรมดังกล่าวแล้วอัลลอฮ์จะตอบแทนความดีให้ หรือเมื่อไม่ทำจะต้องถูกลงโทษ เป็นต้น



ฮู่ก่มหรือข้อสรุปชี้ขาดต่อเรื่องบิดอะห์

สำหรับข้อสรุปชี้ขาด หรือฮู่ก่ม ของการประดิษฐ์และต่อเติมสิ่งที่เป็นความเชื่อหรือการปฏิบัติใหม่ๆ และแอบอ้างว่าเป็นศาสนาอิสลามหรือมีในศาสนาอิสลามให้ถือข้อสรุปชี้ขาดที่เป็นเกณฑ์มาตรฐานจากท่านรอซูลุลลอฮ์ดังนี้ กล่าวคือ บิดอะห์หรืออุตริกรรมในศาสนาอิสลามทุกชนิดถือเป็นการหลงผิดหรือนอกรีต ( ดอลาละห์ ) และเป็นสิ่งต้องห้ามหรือความผิดร้ายแรงอุกฉกรรจ์ มีโทษสถานหนัก
ท่านรอซูลุลลอฮ์ทรงมีโอวาทว่า

“พวกท่านพึงระวังสิ่งที่เป็นถูกอุปโลกน์ทั้งหลายในศาสนาเถิด ทั้งนี้เพราะทุกสิ่งที่ถูกอุปโลกน์ในศาสนาเป็นอุตริกรรมทั้งสิ้น และทุกอุตริกรรมในศาสนาล้วนเป็นความหลงผิด (นอกรีต) และทุกความหลง (นอกรีต) ย่อมต้องอยู่ในนรกอย่างแน่นอน” บันทึกโดยอะหมัดและอัตติรมิซีย์
ท่านรอซูลุลลอฮ์ทรงมีโอวาทอีกว่า

“สิ่งที่ชั่วช้าที่สุดคือสิ่งที่ถูกอุกโลกน์ขึ้นมาในศาสนาและทุกสิ่งที่ถูกอุปโลกน์ในศาสนาเป็นอุตริกรรมทั้งสิ้น” บันทึกโดยมุสลิม

มีบุคคลจำนวนไม่น้อยที่ยังสับสนและไม่เข้าใจความหมายและข้อเท็จจริงของบิดอะห์ อย่างแท้จริง และมักเข้าใจผิดไปเองว่า ทุกอย่างที่ท่านรอซูลุลลอฮ์ไม่เคยกระทำไว้ หากใครนำมาปฏิบัติ ถือว่าผู้นั้นทำบิดอะห์ โดยมิได้แยกแยะว่า ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับศาสนาหรือไม่อย่างไร ในขณะที่อีกจำนวนหนึ่งก็มักง่าย ไม่ถือว่ามีบิดอะห์ในศาสนาเลย และยังเชื่อว่าอุตริกรรมในศาสนาทั้งหมดเป็นความดี, เป็นสิ่งดี แม้สิ่งที่ถูกอุกโลกน์ขึ้นมาในศาสนานั้นจะชัดเจนและร้ายแรงเพียงใดก็ตาม ซ้ำร้ายยังเรียกบิดอะห์ว่าเป็นซุนนะห์เลยก็มี ในขณะที่ท่านรอซูลุลลอฮ์ทรงชี้แจงและกำชับอยู่เสมอว่า “สิ่งที่ชั่วช้าที่สุดคือสิ่งที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมาในศาสนา และทุกสิ่งที่ถูกอุปโลกน์ในศาสนาเป็นอุตริกรรมทั้งสิ้น”

ท่านรอซูลุลอฮ์ทรงมีโอวาทอีกว่า

“ใครก็ตาม ที่อุตริ ทำสิ่งที่ไม่มีในศาสนา (แบบอย่าง) ของเราอุตริกรรมนั้นย่อมต้องถูกปฏิเสธ” บันทึกโดยบุครีย์และมุสลิม

จากบทโอวาทของท่านรอซูลุลลอฮ์ข้างต้นแสดงให้เห็นว่าบิดอะห์ที่ศาสนาปฏิเสธและไม่ยอมรับได้แก่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเท่านั้น
การอุตริกรรม (บิดอะห์) ในศาสนาทุกประเภทเป็นความหลงผิด (นอกรีต) แม้ผู้คนส่วนมากจะนิยมหรือเข้าใจและคิดว่าเป็นสิ่งดีก็ตาม
ท่านอับดุลลอฮิบนุมัร เคยกล่าวว่า

“พวกท่านพึงระวังการบิดอะห์(อุตริ) ในศาสนาเถิด เพราะการบิดอะห์ในศาสนาทุกประเภทเป็นความหลงผิด แม้ผู้คนส่วนใหญ่จะเห็นดีก็ตาม”

จากคำพูดของซอฮาบีย์อับดุลลอฮิบนุอุมัร ซึ่งเป็นสาวกผู้ใกล้ชิดของท่านรอซูลลอฮ์ ทำให้เราเข้าใจได้อย่างดีและถูกต้องว่า ในศาสนา-บัญญัตินั้นจะไม่มีการแบ่งหรือจำแนกบิดอะห์อุตริกรรมในศาสนา ออกเป็นบิดอะห์ดี และบิดอะห์ไม่ดีเป็นอันขาด เพราะในฮะดีษที่ท่านรอซูลลุลลอฮ์กล่าวไว้ก็มิได้แยกแยะหรือจำแนกประเภทของบิดอะห์ไว้ แต่บอกและชี้แจ้อย่างชัดเจนว่า บิดอะห์ในศาสนาทุกอย่างหรือทุกประเภทเป็นความหลงผิดและเป็นสิ่งนอกรีต ดังนั้นใครก็มากำหนดว่าบิดอะห์ทุกอย่างหรือทุกประเภทเป็นความหลงผิดและเป็นสิ่งนอกรีต ดังนั้นใครจะมากำหนดว่าบิดอะห์อย่างนั้นดีอย่างนี้ไม่ดีไม่ได้เป็นอันขาด ทั้งนี้การกำหนดว่าสิ่งใดดีและสิ่งใดไม่ดีนั้นต้องเป็นไปตามการกำหนดของอัลลอฮ์และการกำหนดของท่านรอซูลุลลอฮ์เท่านั้น ด้วยเหตุนี้เองท่านอิหม่ามอัชชาฟีอีย์ได้กล่าวสำทับเพื่อเป็นสติในเรื่องนี้ว่า

“ใครคิดหรือกำหนดสิ่งดี-ในศาสนา-เอาเอง ถือว่าผู้นั้นหาญกล้าบัญญัติศาสนาด้วยตนเอง”


ดังนั้นจึงเป็นที่ชัดเจนว่า ในศาสนบัญญัตินั้นไม่มีบิดอะห์ดีและไม่ดีเป็นอันขาด เพราะจากฮาดีษของท่านรอซูลุลอฮ์และคำพูดของซอฮาบะห์ตลอดจนบรรดานักปราชญ์ล้วนชี้ชัดเหมือนกันว่า บิดอะห์ในศาสนานั้นมีประเภทเดียว คือบิดอะห์ที่หลงผิด หรือบิดอะห์ฏอลาละห์ และทุกความหลงผิดต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน และหากมีใครมาแอบอ้างว่ามีบิดอะห์บางอย่าง บางประเภทเป็นสิ่งที่ดีและไม่ใช่ความหลงผิด เราคงต้องคิดและเชื่ออีกว่าในไม่ช้าคนๆ นั้นคงต้องหาญกล้าบอกและอ้างอีกว่า มีความหลงผิดบางชนิดที่ต้องถูกลงโทษในนรก และความลงผิดบางชนิดที่ไม่ต้องถูกลงโทษในนรก วัลอิยาซุบิลลาฮ์

แล้วยังจะมีใครกล้าทำบิดอะห์อีกกระนั้นหรือ? เมื่อรู้และทราบดีแล้วว่าการทำบิดอะห์ (อุตริกรรม)เป็นการกล่าวร้ายและกล่าวโทษต่อท่านรอซูลุลลอฮ์ ว่าปิดบังอำพรางหลักการศาสนา บกพร่องในหน้าที่เผยแพร่ศาสนา และเป็นการตำหนิต่ออัลลอฮ์โดยตรง เพราะบิดอะห์นั้นเป็นการเสริมเติมต่อสิ่งที่มีอยู่ในศาสนาด้วยความเชื่อหรือการปฏิบัติในลักษณะใหม่ๆ เหมือนว่าศาสนาของอัลลอฮ์แต่เดิมนั้นยังไม่สมบรูณ์ จึงต้องมีการเติมต่อให้เกิดความครบถ้วนสมบรูณ์ยิ่งขึ้น
อัลลอฮ์ทรงมีดำรัสว่า

“วันนี้เราได้ทำให้ศาสนาของพวกท่านครบสมบูรณ์แล้ว และเราได้ให้ความโปรดปรานของเราต่อพวกท่านอย่างสมบูรณ์-ถ้วนหน้า-เช่นกัน และเราพอใจให้อิสลามเป็นศาสนาของพวกท่าน” บทอัลมาอิดะห์/3
ท่านรอซูลุลลอฮ์ทรงกล่าวว่า

“ข้าพเจ้ามิเคยละเลยต่อสิ่งใดที่อัลลอฮ์ทรงมีบัญชาใช้ต่อพวกท่าน โดยมิได้บอกกล่าว (ใช้ให้ทำ) และข้าพเจ้ามิเคยละเลยต่อสิ่งใดที่อัลลอฮ์ทรงมีบัญชาห้ามต่อพวกท่านโดยมิได้บอกกล่าว (ห้ามมิให้ทำ)”

ผลตอบแทนที่ผู้ทำบิดอะห์ (อุตริกรรม) จะได้รับ

1 - บิดอะห์ที่กระทำนั้นจะถูกปฏิเสธโดยสิ้นเชิง และถูกส่งกลับโดยมิได้รับผลตอบแทนความดีแต่อย่างใด ท่านรอซูลุลลอฮ์ทรงกล่าวว่า
“ใครก็ตาม ที่อุตริทำสิ่งไม่มีศาสนา (แบบอย่าง) ของเรา อุตริกรรมนั้นย่อมต้องถูกปฏิเสธ” และในบางรายงานระบุว่า “ใครที่อุตริ(บิดอะห์) ทำสิ่งที่ไม่ใช่ศาสนาให้เป็นเรื่องในเรื่องศาสนา สิ่งที่ทำไปนั้นจะถูกส่งกลับ” คือไม่ถูกตอบรับโดยเด็ดขาด

2 - การทำอุตริ (บิดอะห์) เป็นความผิดอุกฉกรรจ์ มีโทษสถานหนัก คือ ถูกลงโทษในไฟนรก พร้อมกันนั้นต้องแบกรับความผิดจากการอุตริ (บิดอะห์) ของผู้อื่นที่เอาเยี่ยงอย่างบิดอะห์จากเขาไป ท่านรอซุลุลลอฮ์ทรงกล่าวว่า

“พวกท่านพึงระวังสิ่งที่เป็นถูกอุปโลกน์ทั้งหลายในศาสนาเถิด ทั้งนี้เพราะทุกสิ่งที่ถูกอุปโลกน์ในศาสนาเป็นอุตริกรรมทั้งสิ้น และทุกอุตริกรรมในศาสนาล้วนเป็ความผิด (นอกรีต) และทุกความผิด (นอกรีต) ย่อมต้องอยู่ในนรกอย่างแน่นอน” บันทึกโดยอะหมัดและอัตติรมิซีย์
และท่านรอซูลุลลอฮ์ กล่าวอีกว่า

“ผู้ใดชี้นำ-เป็นเหตุ-ให้ผู้อื่นกระทำความผิด ผู้นั้นต้องแบกรับความผิดของตนเองและความผิดของผู้อื่นด้วยเช่นกันจวบจนวันกียามะห์ โดยมิขาดตกบกพร่องแต่ประการใด”
และอัลลอฮ์ทรงมีดำรัสว่า

“พวกเขาต้องได้รับกรรมชั่วตอบแทนอย่างสาสม-ครบถ้วน-ในวันกียามะห์ และจะต้องรับกรรมชั่วของเหล่าชนต่างๆ ที่พวกเขาชักชวนให้หลงผิดอีกด้วย” บทอันนะหฺลิ/25

3 - การเตาบะห์ หรือการสำนึกผิดเพื่อขอกลับเนื้อกลับตัว จะถูกปิดกั้น (อัลลอฮ์ไม่รับการเตาบะห์) ท่านรอซูลุลอฮ์กล่าวว่า

“แท้จริงอัลลอฮ์จะทรงปิดกกั้น-ไม่รับ-การเตาบะห์ของผู้ทำบิดอะห์ทุกคน จนกว่าเขาจะทิ้งการทำบิดอะห์นั้นเสีย” บันทึกโดยอัตติรมีซีย์

...........................................................

บิดอะฮฺในด้านภาษาอาหรับ : คือ การประดิษฐ์สึ่งหนึ่ง โดยที่ไม่มีแบบอย่างมาก่อน
การประดิษฐ์ใหม่หรืออุตรินั้นมีสองแบบ คือ
1. การประดิษฐ์ใหม่ในด้านอาดะฮฺ (สิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนา) ได้แก่การริเริ่มคิดค้นเครื่องมือสมัยใหม่ต่างๆ มากมาย เช่น รถยนต์ เครื่องบิน สิ่งของเครื่งใช่ต่างๆซึ่งสิ่งดังกล่าวนี้ล้วนแล้วเป็นที่อนุญาตให้กระทำได้ เนื่องจากกฎเดิม(ทางศาสนา)ในเรื่องราวทางโลก เป็นสิ่งที่อนุญาต เว้นแต่จะมีตัวบทหลักฐานมากำกับห้ามสิ่งดังกล่าวไว้ เช่นห้ามดอกเบี้ย เป็นต้น

บิดอะฮ์ชนิดนี้จะแบ่งออกได้ ๔ ประการ
บิดอะฮวาญิบ ,บิดอะ มันดูบะฮ(สุนัต) ,บิดอะฮมักรูฮ และบิดอะฮมุบาห (อนุญาต)
มันเป็นบิดอะฮในทางภาษา หรือในทางโลก มันไม่เกี่ยวกับบิดอะฮในทางชัรอีย์ คือ การกำหนดอิบาดะฮ หรือ อะกีดะฮขึ้นมาใหม่แต่อย่างใด

2. การประดิษฐ์ใหม่ในด้านศาสนาคือ การอุตริกรรมในเรื่องราวของศาสนา ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ต้องห้าม เพราะว่ากฎในเรื่องราวต่างๆ ของศาสนา ขึ้นอยู่กับตัวบทหลักฐาน ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวไว้ว่า
مَنْ أَحْدَثَ فِي أَمْرِنَا هَذَا مَا لَيْسَ مِنْهُ فَهُوَ رَدٌّ
“บุคคลใดก็ตามที่ กระทำสิ่งใหม่ขึ้นในกิจการงานของเรา(ศาสนา) ซึ่งไม่มีในกิจการงานของเรา มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกตอบรับ (ณ ที่อัลลอฮฺ) ”
(รายงานโดย อัล-บุคอรีย์ : 167 )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น