วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
ความประเสริฐของการศอละวาต
การสรรเสริญทั้งมวลเป็นสิทธิ์แห่งอัลลอฮฺแต่เพียงพระองค์เดียว ขอพรและความศานติแด่
ท่าน นบีมุฮัมมัดซึ่งไม่มี นบีใดๆภายหลังจากท่านอีก ขอให้พรและความศานตินั้นประสบแด่
วงค์ญาติ และมิตรสหายของท่านด้วย
แท้จริง อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงส่งศาสนทูตของพระองค์ คือท่านศาสนทูตมุฮัมมัด
มายังมวลมนุษย์และญิน ในฐานะเป็นผู้ประกาศข่าวดี เป็นผู้ตักเตือนและเชิญชวนไปสู่ อัลลอฮฺ
และเป็นดวงประทีปอันเจิดจ้า ทั้งนี้ด้วยการอนุมัติของพระองค์ พระองค์ทรงส่งท่าน นบี ศ็อลัลลอ
ฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มาพร้อมด้วยแนวทางอันถูกต้องความเมตตาปราณีและศาสนาอันสัจจะ
พร้อมกับความผาสุกในโลกนี้และโลกหน้า แน่นอนท่านได้ทำหน้าที่เผยแผ่สาส์นของอิสลาม
และปฎิบัติหน้าที่นั้นด้วยความซื่อสัตย์ ได้ตักเตือนประชากรของท่านทั้งยังได้ยืนหยัดและต่อสู้อย่าง
จริงจังอีกด้วย ขออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงตอบแทนรางวัลที่ดีงามแก่ท่านโดยครบถ้วนด้วย
การเชื่อฟังและปฎิบัติตามคำสั่งของท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม การหลีกห่างจากสิ่งที่ท่าน
ห้ามปรามนั้น นับเป็นข้อกำหนดของอิสลามอันสำคัญยิ่งที่มุสลิมทุกคนจะต้องน้อมนำมาปฎิบัติอย่าง
เคร่งตัด และยังถือเป็นจุดมุ่งหมายแห่งสาส์นของท่านด้วย
การยอมรับและการปฎิญาณในการเป็นศาสนทูตของ นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ย่อมหมายความถึง
การรักใคร่ การดำเนินตามท่าน ซึ่งรวมทั้งการศอละวาด(ขอพร)ให้แก่ท่านในทุกๆโอกาศ และในขณะที่กล่าว
หรือรำลึกถึงท่านเพราะดังกล่าวนั้นถือเป็นสิทธิและหน้าที่บางอย่างที่จำเป็นที่เราจะต้องปฎิบัติตามท่าน
ในขณะเดียวกันก็เป็นการสนองคุณต่ออัลลอฮฺที่ได้ทรงประทานความโปรดปรานแห่งพระองค์
ด้วยการส่งท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม มาเป็นศาสนทูตแก่พวกเรา
ในการศอละวาตให้แก่ท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นั้นมีประโยชน์มากมาย ส่วนหนึ่งจากบรรดา
ประโยชน์เหล่านั้นคือ การดำเนินตามคำสั่งของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุวะตะอาลา และเห็นพ้องกับพระองค์
และกับบรรดามะลาอิกะฮฺของพระองค์ ในการศอละวาตให้แก่ท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
ดังที่พระองค์ตรัสว่า
" " " แน่แท้อัลลอฮฺ และมวลมะลาอิกะฮฺ ทรงศอละวาตให้แก่ นบี โอ้บรรดาผู้ที่ศรัทธาแล้วทั้งหลาย
จงศอละวาต และจงให้สลามแก่ท่าน นบี อย่างจริงจังเถิด " " " (33 ..56)
ประโยชน์อีกประการหนึ่งก็คือ ผู้ที่ศอละวาตนั้นจะได้รับกุศลทวีคูณและเป็นความปรารถนาในการ
ตอบสนองคำวิงวอนของเขา การศอละวาตนั้นยังเป็นสาเหตุแห่งการบรรลุถึงความจำเริญ ความรัก
ใคร่ท่าน และความเพิ่มพูนต่างๆ เป็นสาเหตุแห่งการได้รับแนวทางอันถูกต้อง จิตใจเบิกบานและมีชีวิตชีวา
เมื่อบุคคลศอละวาตให้แก่ท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อย่างมากมายและรำลึกถีงท่าน นบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อยู่เสมอแล้ว ความรักใคร่ท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จะเข้ามาแทน
ที่จิตใจเขาเลย ไม่มีการเคลือบแคลงสงสัยใดๆในสิ่งที่ท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นำมา
นอกจากนั้น ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ยังได้ส่งเสริมให้ศอละวาตแก่ท่าน โดยมีรายงาน
ปรากฎในหลายหะดีษ ในบรรดาหะดีษเหล่านั้นก็มีหะดีษที่รายงานโดย อิมามมุสลิมซึ่งปรากฎในศ่อฮี้ยฺของท่าน
จาก อบีฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ แจ้งว่า
" " แท้จริงท่านร่อซูลุลลอฮฺกล่าวว่า ผู้ใดศอละวาดให้แก่ฉันเพียงครั้งเดียว
อัลลอฮฺทรงศอละวาตให้แก่เขาสิบครั้ง " "
มีรายงานจากอบีฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า แท้จริงท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
กล่าวว่า " " พวกท่านอย่าให้บ้านของพวกท่านเสมือนกับกุโบรฺ และอย่าให้กุโบรฺของฉันเป็นที่เฉลิมฉลอง
พวกท่านจงศอละวาตให้กับฉัน แท้จริงการศอละวาตของพวกท่านนั้นจะถึงฉันไม่ว่าพวกท่านจะอยู่ ณ ที่แห่งใด " "
ท่านร่อซูลุลลอฮฺยังกล่าวอีกว่า
" " ช่างน่าต่ำต้อยเสียนี่กระไร สำหรับบุคคลผู้ที่เมื่อชื่อของฉันถูกกล่าว ณ ที่เขา แล้วเขาไม่ศอละวาตแก่ฉัน " "
บันทึกรายงานโดย ติรมิซึย์
นอกจากนั้นแล้ว การศอละวาตให้แก่ท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ยังเป็นสิ่งที่ศาสนาใช้ให้กระทำใน
ละหมาดในขณะที่อ่านตะชะฮฺฮุด และในขณะอ่านคุฎบะฮฺ ในขณะดุอาอฺ ขณะขออภัยโทษ ขณะเสร็จจากอะซาน
ขณะเข้า ออกมัสยิด ขณะกล่าวนามท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และในขณะอื่นๆอีกมากมาย
การศอละวาตนั้นจะถูกใช้อย่างแข็งขัน ในขณะที่เขียนชื่อของท่านในหนังสือ หรือสิ่งตีพิมพ์ต่างๆ
ในจดหมาย บทความ ฯลฯ ทั้งนี้โดยอาศัยเหตุผลต่างๆที่กล่าวมา และให้เขียนคำศอละวาตโดยใช้
คำเต็ม เพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งของ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุวะตะอาลาอย่างจริงจัง และเพื่อผู้อ่านจะได้กล่าว
ศอละวาตนั้นในขณะที่เขาอ่านผ่านไป และการเขียนคำศอละวาตนั้นก็ไม่ควรอย่างยิ่งที่ใช้อักษรย่อ
เป็นเครื่องหมายแสดงถึงคำศอละวาตเช่นการใช้อักษร ศ็อด หรือ ศ็อลอัม หรือ ซ.ล. หรือศ็อลฯ เป็นต้น
ซึ่งอักษรย่อเหล่านี้มีผู้เขียนหรือผู้แต่งหนังสือบางคนนิยมกัน การกระทำทำนองนี้ไม่สอดคล้องกับคำสั่งกำชับ
ของอัลลอฮฺที่ตรัสไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ว่า
" " " พวกเจ้าจงศอละวาตให้แก่ท่าน นบี และสลามอย่างจริงจัง " " " (33..56 )
การใช้อักษรย่อเป็นเครื่องหมายแสดงถึงคำศอละวาตในลักษณะดังกล่าวนั้น ไม่บรรลุถึงเป้าหมายและความ
ประเสริฐอันสมบูรณ์เหมือนอย่างการเขียนว่า " ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม " ในลักษณะตัวเต็ม เพราะบางครั้ง
ผู้อ่านอาจไม่ระมัดระวังหรือไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายก็เป็นได้ โดยแท้จริงแล้วการใช้อักษรย่อเป็นเครื่องหมายแสดงถึง
คำศอละวาตนั้น เป็นสิ่งที่นักวิชาการไม่ชอบให้กระทำ พร้อมกันนั้นยังได้มีคำเตือนมิให้กระทำดังกล่าวด้วย
ท่านอิบนุซซ่อลาฮฺ ได้กล่าวไว้ในหนังสือของท่านชื่อ " อุลูมุลหะดีษ " ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่า "มุฏ๊อดดีมะฮฺ อิบนุซซ่อลาฮฺ
กล่าวอยู่ในบทที่ 25 เกี่ยวกับการเขียนและบันทึกหะดีษซึ่งมีข้อความว่า
" ข้อที่เก้า ผู้ที่แสวงหาและรวบรวมวิชาหะดีษจะต้องระมัดระวังและเอาใจใส่ในการเขียนคำ ศอละวาต และสลาม
ให้แก่ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อย่างสม่ำเสมอขณะที่กล่าวชื่อของท่าน โดยจะไม่รู้สึกเบื่อหน่าย
ในการกล่าวย้ำครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะว่าดังกล่าวนั้นจะเป็นประโยชน์อันมหาศาลแก่ผู้ที่แสวงหาหะดีษและ
บันทึกหะดีษ ผู้ที่ละเลยจากการกระทำดังกล่าว เขาย่อมถูกห้ามจากการได้รับส่วนดีอย่างมากมาย
แท้จริงเราได้เห็นคุณความดีแก่ผู้ที่กระทำเช่นนั้น และคำศอละวาตที่เขาเขียนนั้นเป็นดุอาอฺที่จะปรากฎอยู่อย่าง
มั่นคงไม่ใช่เป็นคำรายงาน
ด้วยเหตุนี้จึงไม่จำเป็นต้องบันทึกให้เหมือนกับคำรายงาน ในทำนองเดียวกันกับการกล่าวคำสรรเสริญและสดุดี
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุวะตะอาลา ขณะที่กล่าวพระนามของพระองค์ เช่นคำว่า " อัซซะวะญัล " และคำว่า
" ตะบาร่อกะวะตะอาลา "
" " ความประเสริฐของการศอละวาต แก่ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม " "
" ความหมายของคำว่า ศฮลา หรือ อัศศอลาฮฺ "
คำว่าศอลาหรืออัศศอลาฮฺ นั้นหมายถึงทั้งในด้านภาษาและในด้านบัญญัติ สำหรับในด้านภาษา
หมายถึง การขอดุอาอฺ หรือคำวิงวอนนั่นเอง
สำหรับในด้านบัญญัติ ก็คือการกระทำที่ประกอบไปด้วย คำพูด และการปฎิบัติที่เริ่มต้นด้วยการตักบี๊รฺ
และสิ้นสุดด้วยการให้สลาม ทั้งนี้โดยมีเงื่อนไขเฉพาะ ที่กล่าวข้างต้นนี้หมายถึงละหมาด 5 เวลา
และละหมาดซุนนะฮฺ แต่ยังมีละหมาดที่มีอิริยาบถต่างๆกันกับการละหมาดฟัรฎูและซุนนะฮฺ
นั่นคือละหมาด ญะนาซะฮฺ แม้ว่าละหมาดญะนาซะฮฺเป็นฟัรฎูกิฟายะฮฺ แต่ลักษณะการปฎิบัตินั้นต่างกับ
ละหมาดอื่นๆซึ่งพี่น้องมุสลิมคงทราบกันดี
อย่างไรก็ตาม ยังมีละหมาดที่มีลักษณะต่างกันอยู่อีก นั่นก็คือ การให้ศอละวาตต่อท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุ
อะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งการให้ศอละวาต ณ ที่นี้หมายถึงการขอพรให้แด่ท่านร่อซูล
" ความหมายของคำว่า อัลลอฮฺทรงศฮละวาตให้แก่ นบี "
คืออัลลอฮฺสรรเสริญ นบี อัลลอฮฺให้ความประเสริฐของท่าน นบี ปรากฎขึ้น อัลลอฮฺต้องการให้เกียรติ นบี
และอัลลอฮฺทรงใกล้ชิดกับ นบี
ดังกล่าวนี้ท่านอิบนิ กอยยิม กล่าวไว้ในหนังสือ ญะลาอุลอัฟฮาม ฟิซซอลาติ วัสสะลามิ อะลา คอย ริลอะนาม
" ความหมายของคำว่า มะลาอิกะฮฺศอละวาตให้แก่ นบี "
คือขอให้ท่าน นบี ได้รับความจำเริญ หมายถึงขอให้อัลลอฮฺ ทรงเพิ่มความจำเริญให้แก่ท่าน นบี ยิ่งๆขึ้นอีก
"ความหมายของคำว่า มะลาอิกะฮฺศอละวาตให้แก่ท่าน นบี"
คือขอให้ท่าน นบีได้รับความจำเริญ หมายถึงขอให้อัลลอฮฺทรงเพิ่มความจำเริญให้แก่ท่าน นบียิ่งๆขึ้นอีก
"ความหมายของคำว่า บรรดาผู้ศรัทธาศอละวาตให้แก่ท่าน นบี"
คือขอต่ออัลลอฮฺให้มอบศอละวาตของพระองค์และขอศอละวาตของมะลาอิกะฮฺของพระองค์แก่ท่าน นบี
ท่านอิบนิ กอยยิม กล่าวว่า การที่ผู้ศรัทธาศอละวาตแก่ท่าน นบีนั้น หมายถึง บอกให้ทราบ
และการวิงวอนขอ หรือเรียกว่าเป็นดุอาอฺจากพวกเรานั่นเอง ซึ่งมีสองความหมาย ดังนี้คือ
ก . หมายถึงผู้ศอละวาต ขอดุอาอฺให้แก่ท่าน นบี รำลึกถึงความประเสริฐของท่าน นบี
ความประเสริฐและความรักดังกล่าวนั้นมาจากอัลลอฮฺ ดังนั้นการศอละวาตแก่ท่าน นบีจึงรวม
ไว้ซึ่งการบอกให้ทราบและการวิงวอนนั่นเอง
ข . เราศอละวาต นบี หมายถึงเราขอต่ออัลลอฮฺให้ศอละวาตแก่ นบีของพระองค์
การที่อัลลอฮฺทรงศอละวาต นบีก็คือ สรรเสริญนบี ให้ความใกล้ชิดต่อ นบี ดังนั้นที่เราศอละวาตแก่
ท่าน นบีก็คือ ขอต่ออัลลอฮฺให้สรรเสริญและให้ความใกล้ชิดแก่ท่าน นบี
" สลามต่อท่าน นบีมีสองความหมาย "
ก . หมายถึง "อัสสลาม" ที่เป็นพระนามของอัลลอฮฺ เช่น "ขอให้สลามนี้เกิดแก่ท่าน " หมายถึงท่าน นบี
มีความจำเริญ มีความดีและความปลอดภัย ขอให้พระองค์ทรงให้ท่าน นบีพ้นจากความน่าเกลียดทั้งปวง
ขอให้ท่านพ้นจากความเสื่อมเสียทุกประการ
ข . หมายถึง "อัสสลามะฮฺ" คือขอให้ท่าน นบีพ้นจากความบกพร่องและสาเหตุที่จะทำให้ท่านถูกกล่าวร้าย
ดังนั้นความของคำว่า "อัลลอฮุมมะ ศ็อลลิวะ ซัลลัม อะลา มุฮัมมัด" จึงมีความว่า ขออัลลอฮฺทรงกำหนด
ให้ท่าน นบีตลอดจนประชาชาติของท่าน และการเชิญชวนของพ้นจากข้อตำหนิต่างๆ ซึงดังกล่าวนั้นจะทำให้
การเชิญชวนของท่าน นบีสูงว่งยิ่งขึ้นทุกกาลสมัย
" ฮุกุม ของการศอละวาตและสลามแก่ท่าน นบี " อาศัยดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า
" " " โอ้บรรดาผู้ศรัทธา พวกเจ้าจงศอละวาตแก่ นบี และจงสลามแก่ นบีด้วยการให้สลามอย่างแท้จริง "(33..56)
ฉนั้น ฮุกุมของการศอละวาตและให้สลามแก่ท่าน นบีนั้นถือเป็น "วาญิบ" เป็นหน้าที่ที่จำเป็นสำหรับมุสลิมทุกคน
แม้ว่าตลอดชีวิตของเขาจะกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม เพราะคำสั่งให้ศอละวาตและสลามในอัลกุรอานนั้น
มีมาในสำนวนคำสั่งอย่างเด็ดขาด และทุกคำสั่งที่เด็ดขาดนั้นถือเป็น "วาญิบ" (เรื่องจำเป็นต้องปฎิบัติ)
หากไม่มีคำสั่งเป็นอย่างอื่นมาผันแปรความหมายจากคำสั่งเดิม
ท่าน อัซซะมัคชะรียฺ กล่าวว่า หากว่ามีผู้ถามว่าการศอละวาตและสลามแก่ท่าน นบีเป็นวาญิบ
หรือเป็นซุนนะฮฺ ฉันขอตอบว่าเป็น "วาญิบ" แต่อุละมาอฺมีความเห็นว่า จำเป็นแค่ไหน
อุละมาอฺบางท่านมีความเห็นว่า ครั้งใดที่กล่าวถึงท่าน นบีก็ต้องกล่าวศอละวาตและสลามแก่ท่านด้วย
ทั้งนี้ได้หลักฐานจากหะดีษที่ว่า "ผู้ใดรำลึกถึงฉันโดยไม่กล่าวศอละวาตแก่ฉัน เมื่อเขาตายไป
เขาก็เข้านรก อัลลอฮฺให้เขาไกลห่างฉัน "
ดังนั้นจึงมีอุละมาอฺบางท่านกล่าวว่า จำเป็นต้องกล่าวศอละวาตในที่ชุมนุมหนึ่งครั้งเป็นอย่างน้อย
และอุละมาอฺกลุ่มนี้มีทัศนะว่าต้องกล่าวศอละวาตในอายะฮฺ ซะญะดะฮฺ ในขณะรับคำของผู้จาม
ในตอนต้น และตอนท้ายของการกล่าวดุอาอฺ ฯลฯ
ส่วนท่านอัลกุรฎุบีย์ กล่าวว่า สิ่งที่จำเป็นต้องระวังให้มากก็คือ การกล่าวศอละวาตในทุกครั้งที่รำลึกถึง
ท่าน นบี ทั้งนี้มีหะดีษมากมายสนับสนุนไว้ (ดูในหนังสือของท่านกุรฎุบีย์ เล่ม 14 หน้า 233 )
" ทำไมอัลลอฮฺจึงสั่งให้เรากล่าวศอละวาตและสลามแก่ท่าน นบี "
ในหนังสือ ฮาชิยะฮฺ อัซซอวี อะมัล ญะลาลัยนฺ กล่าวไว้มีความว่า
คำสอนของอิสลามที่มะลาอิกะฮฺและผู้ศรัทธา ศอละวาตแก่ท่าน นบี คือให้เกียรติ พวกเขาดำเนินตามอัลลอฮฺ
ที่พระองค์ให้เกียรติยกย่องท่าน นบี ให้ นบีเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐกว่าทุกคนในโลก เพราะท่าน นบีเป็นสื่อกล่าง
สำคัญในการที่พวกเขาได้รับความโปรดปราน ดังนั้นผู้ได้รับความโปรดปรานจะต้องให้สิ่งตอบแทนผู้เป็นสื่อ
กลางบ้าง แต่พวกเขาไม่สามารถจะให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นสิ่งตอบแทนได้ จึงขอต่ออัลลอฮฺผู้ทรงไว้ซึ่งความสามารถ
ให้เป็นผู้ตอบแทนให้ด้วย นี่แหละคือเคล็ดลับของคำว่า "อัลลอฮุมมะ ศ็อลลิ อะลา มุฮัมมัด " ซึ่งมีความว่า
โอ้อัลลอฮฺได้โปรดศอละวาตแด่ท่าน นบีมุฮัมมัดด้วยเถิด
ดังกล่าวนี้อยู่ใน หนังสือ ฮาชิยะฮฺ อัซซอวีย์ (เล่ม 3 หน้า 287) และท่าน อัลกุรฎุบีย์ อ้างถึงรายงานจากท่าน
ซะฮ์ อิบนิ อับดิลลาฮฺ ว่า การศอละวาตแด่ท่าน นบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นั้น เป็นอิบาดะฮฺ
ที่ประเสริฐอย่างหนึ่ง เพราะอัลลอฮฺยังศอละวาตให้ แล้วพระองค์ยังใช้ให้มะลาอิกะฮฺ ตลอดจนผู้ศรัทธา
ศอละวาตให้ท่าน นบีอีกด้วย ส่วนในอิบาดะฮฺอื่นๆ ไม่มีคำสั่งเช่นนี้
ท่านสุลัยมาน อัดดาร่อนีย์ กล่าวว่า ผู้ใดปรารถนาจะขอดุอาอฺต่ออัลลอฮฺให้พระองค์สนองตอบความต้องการ
ของเขาก็จงเริ่มต้นด้วยการกล่าวศอละวาตแด่ท่าน นบี ต่อจากนั้นก็ให้ขอได้ตามความต้องการ
และช่วงสุดท้ายก่อนจบดุอาอฺก็ให้กล่าวศอละวาตเช่นเดียวกัน แท้จริงอัลลอฮฺจะทรงรับการศอละวาตและนั่น
ย่อมหมายความว่า สิ่งที่อยู่ระหว่างศอละวาตนั้น อัลลอฮฺจะไม่ปัดเป็นแน่
ความสำคัญของการศอละวาตแก่ นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
แท้จริงอัลลอฮฺและบรรดามะลาอิกะฮฺของพระองค์ทรงศอละวาตแก่นบี
(ผู้ประกาศศาสนาของอัลลอฮฺ) โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงศอละวาตและให้สลาม
แก่เขา(หมายถึงท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) อย่างมากมาย
ดำรัสของอัลลอฮฺ ดังกล่าวมานี้เป็นการแสดงว่า พระองค์ทรงแจ้งให้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย
ได้ทราบถึงฐานะอันสูงส่งของท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และคุณสมบัติพิเศษ
ที่ท่านได้รับ อันได้แก่ตำแหน่งที่ได้รับการสรรเสริญที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้
ที่เรียกในภาษาอาหรับว่า อัล มะกอม อัลมะฮฺมู๊ด ซึ่งไม่มีผู้ใดในบรรดา
นบี ได้รับตำแหน่งดังกล่าวนี้ นอกจากท่าน นบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)
เช่นเดียวกันการที่อัลลอฮฺสั่งให้ผู้มีศรัทธาศอละวาตแด่ท่าน นบีมุฮัมมัด
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ภายหลังจากพระองค์ทรงแจ้งว่า พระองค์เองและบรรดา
มะลาอิกะฮฺของพระองค์ ได้ศอละวาตให้แก่ท่าน นบี ก็นับได้ว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
ที่ท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้รับจากอัลลอฮฺ การแจ้งดังกล่าวนี้ก็เพื่อให้
ผู้ศรัทธาได้รู้ฐานะอันแท้จริงของท่าน นบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)
ณ อัลลอฮฺ และบรรดามะลาอิกะฮฺของพระองค์ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ศรัทธาทั้งหลายเชื่อฟัง
และปฎิบัติตามท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นั้น เท่ากับเป็นการเชื่อฟัง
อัลลอฮฺ ดังที่เราได้พบดำรัสของอัลลอฮฺมากมาย อาทิเช่น
" " ผู้ใดเชื่อฟังรอซูล แน่นอนเขาก็เป็นผู้เชื่อฟังอัลลอฮฺ " " (อันนิซาอฺ ที่80)
" " มุฮัมมัด จงกล่าวเถิดว่า จงเชื่อฟังอัลลอฮฺและรอซูล" อาละอิมรอน ที่32
" " จงเชื่อฟังอัลลอฮฺ และรอซูลเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเอ็นดูเมตตา " อาละอิมรอน ที่132
" ผลตอบแทนที่ผู้กล่าวศอละวาต แก่ท่านรอซูลจะได้รับ "
เพื่อให้ความสำคัญของการศอละวาตแก่ท่านรอซูลเป็นที่ประจักษ์ชัดแก่พี่น้องมุสลิม
เราจึงนำผลตอบแทนผู้ที่กล่าวศอละวาตแก่ท่านรอซูลจะได้รับมาเสนอ ดังต่อไปนี้
1 . การกล่าวศอละวาตแก่ท่าน นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นสาเหตุให้อัลลอฮฺ
ศอละวาตให้แก่เขาผู้นั้น
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น