วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
เขาท้าให้วะฮบีย์หาหลักฐานห้ามกินบุญ
เขาท้าให้วะฮบีย์หาหลักฐานห้ามกินบุญ
อะหมัดรอชีดี อิสมัญ อัลอัชอะรีย์ กับ Zeeham Darachay และ ดาวุด จรกา อัลกอฎีรีย์ ที่ สถาบันอัลกุดวะฮ์ เพื่อการศึกษาแนวทางซูฟีย์อิสลามอันบริสุทธิ์
4 ชม. · กรุงเทพมหานคร
พี่น้องวะฮฺฮาบี(คณะใหม่)ท่านใดมีหลักฐานจากอัลกุรอ่านหรืออัลหะดีษในเรื่อง “ การห้ามกินบุญ, ห้ามล้อมวงกันอ่านอัลกุรอ่าน, ซฺิกรุลลอฮฺและห้ามขอดุอาอฺให้กับเจ้าภาพหรือมัยยิด ” ด้วยครับ ถ้ามีช่วยนำเสนอด้วย คือผมมักจะถูกเชิญไปบ่อย ไม่ไหวจะกิน ถ้ามีหลักฐานผมจะได้เลิกไปกินบุญซะที ?
ญะซฺากัลลอฮุคอยร็อน นะครับ ☺😊
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ชี้แจง
ไม่ต่างอะไรกับการท้าทาย อัลลอฮ และรอซูล ศอ็ลฯ ไม่ให้ความสำคัญและดูแคลนหลักการศาสนา ที่ให้ยึดคำภีร์อัลลอฮและอัสสุนนะฮ กลับท้าทายว่า มีหลักฐานห้ามกินบุญไหม
คำว่า กินบุญ หมายถึง กินเลี้ยงในงานทําบุญ งานบุญในประเทศไทยมีหลายแบบ เช่น งานบุญเดือนสิบ งานบุญบั้งไฟ งานบุญเนื่องจากการตาย ฯลฯ คนที่มีศาสนา ต้องแยกให้ออกว่าในอิสลามมีงานบุญอะไรบ้าง
ส่วนใครจะกินบุญ กินบาป อะไร ก็กินไป ไม่มีใครไปห้ามได้
ใครจะกินบุญเดือนสิบ กินบุญเช้งเม้ง กินบุญคนตาย โดยอ้างว่า ไม่มีหลักฐานห้ามก็ทำไป ไม่มีใครห้ามได้
แต่ถ้าเป็นหลักการของศาสนา นั้น พิธีกรรมศาสนาว่าด้วยการทำบุญนั้น ต้องมีคำสอนจากเจ้าของศาสนา คืออัลลอฮ และศาสดาพระองค์ คือ มุหัมหมัด ศอ็ลฯ ในทำนองเดียวกัน ในเรื่องอิบาดะฮ
เรื่อง อิบาดะฮในอิสลาม ต้องมีตัวบทที่เป็นคำสั่งจากอักุรอ่านและอัสสุนนะฮ
الأعمال الدينية لا يجوز أن يتخذ شيء منها سببا إلا أن تكون مشروعة فإن العبادات مبناها على التوقيف
บรรดาการงานที่เกี่ยวกับศาสนานั้น ไม่อนุญาตให้สิ่งใดๆจากมันถูกเอามาเป็น มูลเหตุ(ให้กระทำ)นอกจาก มันเป็นสิ่งที่ถูกบัญญัติไว้ เพราะแท้จริงบรรดาอิบาดะฮนั้นรากฐานของมันถูกวางอยู่บนการรอคำสั่ง - อัลอาดาบอัชชัรอียะฮ ของอิบนุมุฟลิห เล่ม 2หน้า 265
การเดินกินบุญ เนื่องจากการตาย ที่บ้านครอบครัวผู้ตาย มีหลักฐานห้ามชัดเจน
ญะรีร บุตร อับดุลลอฮ อัล-บะญะลี ซึ่งมีฐานะเป็นเศาะหาบะฮ กล่าวว่า
كُنَّا نَعُدُّ الِاجْتِمَاعَ إِلَى أَهْلِ الْمَيِّتِ وَصَنِيعَةَ الطَّعَامِ بَعْدَ دَفْنِهِ مِنْ النِّيَاحَةِ
พวกเรานับว่า การไปชุมนุมกันที่ครอบครัวผู้ตายและทำอาหารกินกัน หลังจากที่ฝังมัยยิต เป็นส่วนหนึ่งของการนิยาหะฮ(ที่ต้องห้าม)- รายงานโดย อะหมัด อัลบานียได้ระบุว่า เป็นหะดิษเศาะเหียะ ในหนังสือ อะหกามุ้ลญะนาอิซ หน้า 167
อัลบะฮูตีย์ (ปราชญ์มัซฮับฮัมบะลี)กล่าวว่า
ويكره لهم أي لأهل الميت فعله أي فعل الطعام للناس لما روى أحمد عن جرير قال: كنا نعد الاجتماع إلى أهل الميت وصنعة الطعام بعد دفنه من النياحة
และมักรูฮ(น่ารังเกียจ) แก่พวกเขา หมายถึง แก่ครอบครัวผู้ตาย ทำมัน หมายถึง ทำอาหาร ให้แก่บรรดาผู้คน เพราะ มีหะดิษรายงานโดยอิหม่ามอะหมัด จาก ญะรีร กล่าวว่า “พวกเรานับว่า การไปชุมนุมกัน ที่ครอบครัวผู้ตาย และทำอาหารเลี้ยงกันหลังจากมัน (หลังจากการตาย)นั้น เป็นส่วนหนึ่งจากอัลนิยาหะฮ(หมายถึง การร้องให้คร่ำครวญถึงผู้ตายที่ต้องห้าม) – อัรเราฎุอัลมุรอ็บเบียะ ชัรหุ ซาดิลมุสตักเนียะ เล่ม 1 หน้า 134
อิบนุหะญัร อัลฮัยตะมีย(ปราชมัซฮับชาฟิอี) กล่าวว่า
وَمَا اُعْتِيدَ مِنْ جَعْلِ أَهْلِ الْمَيِّتِ طَعَامًا لِيَدْعُوا النَّاسَ عَلَيْهِ بِدْعَةٌ مَكْرُوهَةٌ
สำหรับ สิ่งที่เป็นประเพณี จากการที่ครอบครัวผู้ตายทำอาหาร และเชิญบรรดาผู้คน บนมันนั้น เป็นบิดอะฮที่น่ารังเกียจ – ดู ตุคฟะตุลมุหตาจญ ฟี ชัรห มินฮาจญ เล่ม 3 หน้า 208
อิบนุหะญัร อัลฮัยตะมีย(ปราชมัซฮับชาฟิอี) กล่าวว่า
وَمَا اُعْتِيدَ مِنْ جَعْلِ أَهْلِ الْمَيِّتِ طَعَامًا لِيَدْعُوا النَّاسَ عَلَيْهِ بِدْعَةٌ مَكْرُوهَةٌ
สำหรับ สิ่งที่เป็นประเพณี จากการที่ครอบครัวผู้ตายทำอาหาร และเชิญบรรดาผู้คน บนมันนั้น เป็นบิดอะฮที่น่ารังเกียจ – ดู ตุคฟะตุลมุหตาจญ ฟี ชัรห มินฮาจญ เล่ม 3 หน้า 208
อิบนุอาบิดีน (ปราชญ์มัซฮับหะนะฟียฺ) กล่าวว่า
وَيُكْرَهُ اتِّخَاذُ الضِّيَافَةِ مِنْ الطَّعَامِ مِنْ أَهْلِ الْمَيِّتِ، لِأَنَّهُ شُرِعَ فِي السُّرُورِ لَا فِي الشُّرُورِ، وَهِيَ بِدْعَةٌ مُسْتَقْبَحَةٌ! وَرَوَى الْإِمَامُ أَحْمَدُ وَابْنُ مَاجَهْ بِإِسْنَادٍ صَحِيحٍ عَنْ جَرِيرِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ قَالَ " كُنَّا نَعُدُّ الِاجْتِمَاعَ إلَى أَهْلِ الْمَيِّتِ وَصُنْعَهُمْ الطَّعَامَ مِنْ النِّيَاحَةِ"
และการเลี้ยงอาหารแขก จากฝ่ายครอบครัวผู้ตายนั้น เป็นมักรูฮ(น่ารังเกียจ) เพราะแท้จริงมัน(การเลี้ยงอาหารแก่แขก)นั้น ถูกบัญญัติในโอกาสมีความยินดี ไม่ใช่ในยามทุกข์ และมันคือ บิดอะฮที่น่าเกลียด และอิหม่ามอะหมัด,อิบนุมาญะฮได้รายงานด้วยสายรายงานที่เศาะเฮียะจากอิบนุญะรีร บินอับดุลลอฮ ว่าเขากล่าวว่า ““พวกเรานับว่า การไปชุมนุมกัน ที่ครอบครัวผู้ตาย และทำอาหารเลี้ยงกันหลังจากมัน (หลังจากการตาย)นั้น เป็นส่วนหนึ่งจากอัลนิยาหะฮ(หมายถึง การร้องให้คร่ำครวญถึงผู้ตายที่ต้องห้าม ) - ดู รอดดุลมุหตาร อาลัดดุรริลมุคตาร เล่ม 6 หน้า 666
มุหัมหมัด ฃัมสุลหัก อัลอะซีม อะบะดีย์ กล่าวว่า
قَالَ ابْنُ الْهُمَامِ فِي فَتْحِ الْقَدِيرِ شَرْحِ الْهِدَايَةِ : يُسْتَحَبُّ لِجِيرَانِ أَهْلِ الْمَيِّتِ وَالْأَقْرِبَاءِ الْأَبَاعِدِ تَهْيِئَةُ طَعَامٍ لَهُمْ يُشْبِعُهُمْ لَيْلَتَهُمْ وَيَوْمَهُمْ ، وَيُكْرَهُ اتِّخَاذُ الضِّيَافَةِ مِنْ أَهْلِ الْمَيِّتِ لِأَنَّهُ شُرِعَ فِي السُّرُورِ لَا فِي الشُّرُورِ وَهِيَ بِدْعَةٌ مُسْتَقْبَحَةٌ
อิบนุอัลฮุมาม กล่าวไว้ในฟัตหุลเกาะดีร ชัรหุอัลฮิดายะฮว่า “ชอบ (หมายถึงสุนัต) ให้เพื่อนบ้านครอบครัวผู้ตาย และบรรดาญาตใกล้ชิด ที่ห่างใกล เตรียมอาหารให้แก่พวกเขา (ครอบครัวผู้ตาย) ให้พวกเขากินให้อิ่ม ในยามกลางคืนและกลางวัน และการเลี้ยงอาหารแขก จากฝ่ายครอบครัวผู้ตายนั้น เป็นมักรูฮ(น่ารังเกียจ การเพราะแท้จริงมัน(การเลี้ยงอาหารแก่แขก)นั้น ถูกบัญญัติในโอกาสมีความยินดี ไม่ใช่ในยามทุกข์ และมันคือ บิดอะฮที่น่าเกลียด- ดู เอานุลมะอฺบูด ชัรหุสุนันอบีดาวูด หะดิษหมายเลข 3132 เรื่อง การทำอาหารให้ครอบครัวผู้ตาย
ชัมสุลหัก อัลอะซีม อะบะดีย์ กล่าวว่า
وَيُؤَيِّدُهُ حَدِيثُ جَرِيرِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ الْبَجَلِيِّ قَالَ : كُنَّا نَرَى الِاجْتِمَاعَ إِلَى أَهْلِ الْمَيِّتِ وَصَنْعَةِ الطَّعَامِ مِنَ النِّيَاحَةِ أَخْرَجَهُ ابْنُ مَاجَهْ وَبَوَّبَ بَابُ مَا جَاءَ فِي النَّهْيِ عَنِ الِاجْتِمَاعِ إِلَى أَهْلِ الْمَيِّتِ وَصَنْعَةِ الطَّعَامِ ، وَهَذَا الْحَدِيثُ سَنَدُهُ صَحِيحٌ وَرِجَالُهُ عَلَى شَرْطِ مُسْلِمٍ . قَالَهُ السِّنْدِيُّ : وَقَالَ أَيْضًا : قَوْلُهُ كُنَّا نَرَى هَذَا بِمَنْزِلَةِ رِوَايَةِ إِجْمَاعِ الصَّحَابَةِ أَوْ تَقْرِيرٍ مِنَ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ،
และหะดิษญะรีร บิน อับดุลลอฮ อัลบะญะลีย์ ได้สนับสนุนมัน(หมายถึงสนับสนุนหะดิษญะอฟัร) โดยเขา(ญะรีร)ได้กล่าวว่า
“พวกเราเห็นว่าการไปชุมนุมที่ครอบครัวผู้ตายและทำอาหารกินกันนั้น เป็นส่วนหนึ่งจากอัลนิยาหะฮ(การคร่ำครวญถึงผู้ตาย) – บันทึกโดย อิบนุมายะฮ และเขาได้ กำหนดหัวเรื่อง ว่า “เรื่องว่าด้วยการห้ามจากการชุมนุมที่ครอบครัวผู้ตายและทำอาหารกินกัน ,และนี้คือหะดิษสายรายงานของมันเศาะเฮียะ และบรรดาผู้รายงานมัน อยู่บนเงื่อนไขของอิหม่ามมุสลิม ,อัสสะนะดีย์ ได้กล่าวมันไว้ และเขาได้กล่าวอีกว่า “ คำพูดของญะรีรที่ว่า “เราเห็นว่า “ นี้คือ อยู่ในฐานะรายงานที่เป็นอิจญมะฮ (มติเอกฉันท์)ของบรรดาเศาะหาบะฮ หรือ การรับรองจากนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม - ดู เอานุลมะอฺบูด อธิบายสุนันอบีดาวูด หะดิษ หมายเลข ๓๑๓๒ กิตาบุลญะนาอิซ เรือง การทำอาหารให้ครอบครัวผู้ตาย
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
จากข้อมูลข้างต้น แสดงให้เห็นว่า หลักฐานการห้ามชุมนุมที่บ้านผู้ผู้ตายและมีการเลี้ยงอาหารกินกันนั้น มีน้ำหนัก และไม่มีข้ออ้างใดๆมาหักล้างได้อีกแล้ว ส่วนเราจะยอมรับหรือไม่ยอมรับนั้น เป็นเรื่องที่ไม่มีใครไปบังคับได้ เป็นเรื่องที่เราจะต้องตอบกับอัลลอฮเอาเอง
..........................................
1.หลักการในเรื่องอิบาดะฮ
إِنَّ الْأَصْلَ فِي الْعِبَادَاتِ التَّوْقِيفُ ، فَلَا يُشْرَعُ مِنْهَا إِلَّا مَا شَرَعَهُ اللَّهُ
แท้จริงรากฐาน(หลักการ) ในเรื่องอิบาดะฮนั้น คือ การหยุดอยู่ที่คำสั่ง (อัตเตากีฟ)ดังนั้นมันจะไม่ถูกบัญญัติ นอกจากสิ่งที่อัลลอฮตะอาลาได้บัญญัติมัน ไว้เท่านั้น
2.หลักการในเรื่อง กิจกรรมทางโลก
وَالْعَادَاتُ الْأَصْلُ فِيهَا الْعَفْوُ ، فَلَا يُحْظَرُ مِنْهَا إِلَّا مَا حَرَّمَهُ ،
และบรรดาอาดาตนั้น รากฐาน ในมันนั้น คือ การอนุญาต เขาจะไม่ถูกห้ามจากมัน นอกจากสิ่งที่ พระองค์ได้ห้ามมันเอาไว้เท่านั้น
.......................................
ถ้าเราถามกลับว่า ละหมาดมักริบ 4 รอกาอัต มีหลักฐานห้ามป่าวล่ะ...!!!
จะเห็นได้ว่า ผู้ท้าหาหลักฐานห้ามในเรื่องอีบาดะฮ คงจะมึนหรือละเมอมองสวนทางกันกับหลักการ
แล้วยังจะชี้แนะคนอืนให้หลงตาม แบบนี้อันตรายครับ
والله أعلم بالصواب
แครดิต...
อะสัน หมัดอะดั้ม
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น