วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
ข้อเท็จจริงเรื่องอะซีมัต ภาค 2
ข้อเท็จจริงเรื่องอะซีมัต ภาค 2
เช็คศอลิหอัลเฟาซาน กล่าวว่า
* وقد يكون المعلق من القرآن ، فإذا كان من القرآن فقد اختلف العلماء في جوازه وعدم جوازه 0 والراجح عدم جوازه سدا للذريعة فإنه يفضي إلى تعليق غير القرآن ، ولأنه لا مخصص للنصوص المانعة من تعليق التمائم كحديث ابن مسعود – رضي الله عنه – قال : سمعت رسول الله صلى الله عليه وسلم يقول : ( إن الرقى والتمائم والتولة شرك ) ( صحيح الجامع 1632 ) رواه أحمد وأبو داوود وعن عقبة بن عامر - رضي الله عنه - مرفوعا ( من علق تميمة فقد أشرك ) ( صحيح الجامع 6394 ) ، وهذه نصوص عامة لا مخصص لها
และบางที สิ่งที่ถูกนำมาแขวน(เป็นอะซีมัตนั้น) มาจากอัลกุรอ่าน แท้จริง บรรดานักวิชาการได้เห็นต่างกัน ในเรื่องอนุญาตและไม่อนุญาต และที่มีน้ำหนักนั้น ไม่อนุญาต เป็นการป้องกันสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่จะตามมาภายหลัง เพราะแท้จริงมันจะนำไปสู่ การแขวน อื่นจากอัลกุรอ่าน และเพราะแท้จริง ไม่มีสิ่งที่มาจำกัด ตัวบทที่ห้ามการแขวนเครื่องราง ดังหะดิษมัสอูด(ร.ฎ เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้ยินรซูลุลลอฮ สอ็ลฯ กล่าวว่า ( อันที่จริงแล้วการเสกเป่าต่าง ๆ เครื่องรางของขลังต่าง ๆ และเครื่องของเสน่ห์ต่าง ๆ นั้น เป็นการตั้งภาคี..- อัศเศาะเฮียะญาเมียะ หะดิษหมายเลข ๑๖๓๒ รายงานโดยอะหมัด และอบูดาวูด และรายงานจากอุกบะฮ บิน อามีร (ร.ฎ) เป็นหะดิษมัรฟัวะ(หมายถึงสืบไปถึงนบี)ว่า ผู้ใดแขวนเครื่องราง แน่นอน เขาได้ตั้งภาคีแล้ว) - เศาะเฮียะอัลญาเมียะ หะดิษหมายเลข ๖๓๙๔ และนี้คือ ตัวบท/หลักฐาน ที่ระบุเอาไว้โดยกว้างๆ โดยไม่มีสิ่งที่ถูกให้มาจำกัด/หรือยกเว้น สำหรับมัน – ดู อัลอิรชาดอิลาเศาะเฮียะอัลเอียะติกอด เล่ม ๒ หน้า ๘๓
หลายคนอ้างสะลัฟ มาเป็นหลักฐาน โดยคิดว่าถ้าชาวสะลัฟคนใดคนหนึ่งทำอะไร ก็คือหลักฐานทางศาสนบัญญัติหมด ขอเรียนว่าผู้รู้ยุคสะลัฟมีมากมาย และหลายประเด็นพวกเขาก็เห็นต่างกัน เพราะฉะนั้น มาดูว่าเราจะอ้างสะลัฟมาเป็นหลักฐานอย่างไร
ความจริง คำพูดสะสัฟที่เป็นหลักฐานนั้นคือ อิจญมาอฺสะลัฟ ไม่ใช่คนใดคนหนึ่งพูดหรือทำในยุคสามร้อยปีแรกแล้วเป็นศาสนบัญญัติหมด
มาดูตัวอย่าง กฎ/หลักการ ของ อิบนุญะรีร ปราชญ์ยุคสะลัฟ ในประเด็น การกล่าวบิสมิลละฮ ในการเชือดสัตว์ดังนี้
وَقَدْ نَقَلَ ابْنُ جَرِيرٍ وَغَيْرُهُ . عَنِ الشَّعْبِيِّ ، وَمُحَمَّدِ بْنِ سِيرِينَ ، أَنَّهُمَا كَرِهَا مَتْرُوكَ التَّسْمِيَةِ نِسْيَانًا ، وَالسَّلَفُ يُطْلِقُونَ الْكَرَاهِيَةَ عَلَى التَّحْرِيمِ كَثِيرًا ، وَاللَّهُ أَعْلَمُ . إِلَّا أَنَّ مِنْ قَاعِدَةِ ابْنِ جَرِيرٍ أَنَّهُ لَا يَعْتَبِرُ قَوْلَ الْوَاحِدِ وَلَا الِاثْنَيْنِ مُخَالِفًا لِقَوْلِ الْجُمْهُورِ ، فَيُعِدُّهُ إِجْمَاعًا .
และแท้จริง อิบนุญะรีร และผู้อื่นจากเขา ได้รายงานจาก อัชชุอฺบีย์ และมุหัมหมัด บิน สิรีน ว่าทั้งสองกล่าวว่า มักรูฮ ละทิ้งการกล่าวบิสมิลละฮ เพราะลืม และชาวสะลัฟ กล่าวคำว่า “มักรูฮ”บนความหมายคำว่า หะรอมนั้นมีมากมาย และอัลลอฮเท่านั้นทรงรู้ยิ่ง นอกจาก ว่าแท้จริงส่วนหนึ่งจากกฎ/หลักการ ของอิบนุญะรีร แท้จริง คำพูดของคนๆเดียวและคนสองคน ที่ขัดแย้งกับทัศนะนักวิชาการส่วนใหญ่(ญุมฮูร) จะไม่ถูกพิจารณา (มาเป็นหลักฐาน) ที่จะถูกนับว่าเป็นอิจญมาอฺ - ตัฟสีร อิบนุกะษีร เล่ม 3 หน้า 326
………
กล่าวคือ กฎหรือหลักการของอิบนุญะรีรนั้น คำพูดของคนๆเดียวหรือคนสองคนจะไม่ถูกพิจารณา เมื่อมันขัด แย้งกับกับทัศนะนักวิชาการส่วนใหญ่(ญุมฮูร) ที่พิจารณาคือ อัลอิจญมาอฺ หมายถึง มติของชาวสะลัฟ
ในประเด็นการแขวนอะซีมัตที่ทำด้วยอัลกุรอ่าน ไม่ได้เป็นมติของ ชาวสะลัฟ
หมายเหตุ ถ้าเป็นคำพูดและการกระทำของเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีนเป็นหลักฐานได้เพราะนบี ศอ็ลฯได้รับรองไว้แล้ว
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น