วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ภรรยานบียืนยันว่าอัลลอฮอยู่เหนือเจ็ดชั้นฟ้า


ภรรยานบียืนยันว่าอัลลอฮอยู่เหนือเจ็ดชั้นฟ้า
حَدَّثَنَا أَحْمَدُ، حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ أَبِي بَكْرٍ الْمُقَدَّمِيُّ، حَدَّثَنَا حَمَّادُ بْنُ زَيْدٍ، عَنْ ثَابِتٍ، عَنْ أَنَسٍ، قَالَ جَاءَ زَيْدُ بْنُ حَارِثَةَ يَشْكُو فَجَعَلَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم يَقُولُ " اتَّقِ اللَّهَ، وَأَمْسِكْ عَلَيْكَ زَوْجَكَ ". قَالَتْ عَائِشَةُ لَوْ كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم كَاتِمًا شَيْئًا لَكَتَمَ هَذِهِ. قَالَ فَكَانَتْ زَيْنَبُ تَفْخَرُ عَلَى أَزْوَاجِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم تَقُولُ زَوَّجَكُنَّ أَهَالِيكُنَّ، وَزَوَّجَنِي اللَّهُ تَعَالَى مِنْ فَوْقِ سَبْعِ سَمَوَاتٍ. وَعَنْ ثَابِتٍ {وَتُخْفِي فِي نَفْسِكَ مَا اللَّهُ مُبْدِيهِ وَتَخْشَى النَّاسَ} نَزَلَتْ فِي شَأْنِ زَيْنَبَ وَزَيْدِ بْنِ حَارِثَةَ.
อะหมัด ได้เล่าเรา ว่า มุหัมหมัด บิน อบีบักร อัลมุกอ็ดดิมีย์ ว่า หัมมาด บิน เซด ได้เล่าเราว่ารายงานจาก ษาบิด จากอะนัส เขากล่าวว่า “ เซด บิน หาริษะฮ ได้มาร้องทุกข์(เกี่ยวกับภรรยาของเขา) ทำให้นบี ศอ็ลฯ กล่าวแก่เขาว่า “ท่านจงยำเกรงต่ออัลลอฮ และจงดูแลรักษาภริยาของเจ้าไว้ให้อยู่กับเจ้าเถิด “ ,นางอาอีฉะฮ (ร.ฎ) กล่าวว่า หากปรากฏว่ารซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ปิดบังสิ่งใด เขาก็ปิดบังสิ่งนี้ เขา(ท่านนบี)กล่าวว่า “ซัยหนับ ได้แสดงความภาคภูมิใจอวด บรรดาภรรยาของนบี ศอ็ลฯ กล่าวว่า “โดยนางกล่าวว่า “ ครอบครัวของพวกเธอจัดการแต่งงานให้พวกเธอ (กับท่านนบี) โดยที่ อัลลอฮ ตะอาลา จัดการแต่งงานฉัน(กับนบี) จากเบื้องบน เจ็ดชั้นฟ้า และรายงานจากษาบีต ว่า (และเจ้าได้ซ่อนไว้ในจิตใจของเจ้าเรื่องที่อัลลอฮฺจะทรงเปิดเผยมัน) ว่า มัน(อายะฮนี้ )ถูก ประทานลงมาเกี่ยวกับ ซัยหนับและเซด บิน หาริษะฮ - รายงานโดยบุคอรี
>>>>
หะดิษข้างต้น ประโยคที่ท่านหญิงซัยหนับ(ร.ฎ) ว่า
وَزَوَّجَنِي اللَّهُ تَعَالَى مِنْ فَوْقِ سَبْعِ سَمَوَاتٍ.
โดยที่ อัลลอฮ ตะอาลา จัดการแต่งงานฉัน(กับนบี) จากเบื้องบน เจ็ดชั้นฟ้า
.............
แสดงให้เห็นชัดเจนแก่ผู้มีสติปัญญาปกติว่า “อัลลอฮทรงอยู่เบื้องสูง เหนือบรรดาชั้นฟ้า เป็นหลักฐานที่ชัดเจน เศาะเฮียะ เพียงแต่มันไม่กินกับปัญญาของนักปัญญานิยมเท่านั้น มิหนำซ้ำกล่าวหาว่า การเชื่อว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้า คืออะกีดะฮฟิรเอาน์(ฟาโรห์ )นะอูซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

การว่าจ้างให้อ่านอัลกุรอ่านให้ผู้ตายมีหลักฐานชัวส์หรือมั่วนิ่ม



การว่าจ้างให้อ่านอัลกุรอ่านให้ผู้ตายมีหลักฐานชัวส์หรือมั่วนิ่ม
มีละแบคนหนึ่ง อ้างว่าหะดิษข้างล่างนี้คือหลักฐานว่าจ้างให้อ่านอัลกุรอ่านอุทิศบุญให้คนตาย คือ
عن ابي سعيد الخدري قال قال النبي صلى الله عليه وسلم إن احق ما أخذتم عليه أجرا كتاب الله
แท้จริงสิ่งที่เหมาะสมที่สุดที่ท่านจะรับเอาค่าจ้างนั้นก็คือกิตาบุลลอห์(อัลกุรอ่าน)
หะดิษเต็มๆคือ
عَنْ ابْنِ عَبَّاسٍ رضي الله عنهما أَنَّ نَفَرًا مِنْ أَصْحَابِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مَرُّوا بِمَاءٍ فِيهِمْ لَدِيغٌ فَعَرَضَ لَهُمْ رَجُلٌ مِنْ أَهْلِ الْمَاءِ فَقَالَ : هَلْ فِيكُمْ مِنْ رَاقٍ إِنَّ فِي الْمَاءِ رَجُلًا لَدِيغًا فَانْطَلَقَ رَجُلٌ مِنْهُمْ فَقَرَأَ بِفَاتِحَةِ الْكِتَابِ عَلَى شَاءٍ [أي : قطيع من الغنم] فَبَرَأَ فَجَاءَ بِالشَّاءِ إِلَى أَصْحَابِهِ فَكَرِهُوا ذَلِكَ ، وَقَالُوا : أَخَذْتَ عَلَى كِتَابِ اللَّهِ أَجْرًا ؟! حَتَّى قَدِمُوا الْمَدِينَةَ فَقَالُوا : يَا رَسُولَ اللَّهِ أَخَذَ عَلَى كِتَابِ اللَّهِ أَجْرًا فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : ( إِنَّ أَحَقَّ مَا أَخَذْتُمْ عَلَيْهِ أَجْرًا كِتَابُ اللَّهِ ) رواه البخاري ( 5405 ) .
.......................
หะดิษขางต้น เป็นกรณีที่เศาะหาบะฮกลุ่มหนึ่งทำการปัดเป่าคนถูกอสรพิษกัดด้วยการอ่านซูเราะฮฟะติฮะ แล้วได้รับค่าตอบแทนเป็นแพระตัวหนึ่ง พอกลับไปหาบรรดาสหาย บรรดาสหายก็รังเกียจ พอกลับไปยังมาดีนะฮ ก็ถามนบี ศอ็ลฯว่า เอาค่าจ้างบนกิตาบุลลอฮได้ไหม แล้วท่านนบี ศอ็ลฯก็ตอบว่า
إنَّ أَحَقَّ مَا أَخَذْتم عَلَيْهِ أَجْراَ كِتَاب الله
แท้จริงสิ่งที่พวกท่านสมควรจะเอาค่าตอบแทนคือ คัมภีร์ของอัลลอฮ
......
ข้างต้นไม่เกี่ยวกับเรื่อง รับจ้างอ่านอัลกุรอ่านโอนบุญให้ผู้ตายในหลุมศพเลย แต่ก็มีละแบบางคนเอาหะดิษนี้มาอ้างหากินกับคนตาย
อิหม่ามนะวาวีย์ได้อธิบายหะดิษข้างต้น โดยกล่าวว่า
هذا تصريح بجواز أخذ الأجرة على الرقية ، بالفاتحة ، والذِّكر , وأنها حلال لا كراهة فيها , وكذا الأجرة على تعليم القرآن , وهذا مذهب الشافعي ، ومالك ، وأحمد ، وإسحاق ، وأبي ثور ، وآخرين من السلف , ومَن بعدهم
นี้คือ ความชัดเจน เกี่ยวกับอนุญาตให้เอาค่าตอบแทน การปัดเป่า ด้วยฟาติหะฮและซิกีร และแท้จริงมัน หะลาล ไม่มักรูฮในมัน และในทำนองเดียวกัน การเอาค่าตอบแทน การสอนอัลกุรอ่าน และนี้คือ ทัศนะของ ชาฟิอี,มาลิก,อะหมัด,อิสหาก,อบีษูร ,บรรดาคนอื่นๆจากชาวสะลัฟ และผู้ที่อยู่ยุคหลังจากพวกเขา – ดู ชัรหุมุสลิม เล่ม 14 หน้า 188
อิบนุอะซูร กล่าวว่า
أن الجمهور من العلماء أجازوا أخذ الأجر على تعليم القرآن فضلاً عن الفقه والعلم فقال بجواز ذلك الحسن وعطاء والشعبي وابن سيرين ومالك والشافعي وأحمد وأبو ثور والجمهور ، وحجتهم في ذلك الحديث الصحيح عن ابن عباس أن النبي صلى الله عليه وسلم قال ( إن أحق ما أخذتم عليه أجراً كتاب الله
แท้จริง ชนส่วนมากจากบรรดานักวิชาการ พวกเขาอนุญาตให้เอาค่าจ้างสอนอัลกุรอ่านได้ เช่นเดียวกับ ฟิกฮและวิชาความรู้ ดังนั้น ที่กล่าวว่าอนุญาตดังกล่าวคือ อัลหะซัน ,อะฏออฺ, อิบนุสิรีน ,มาลิก,ชาฟิอี ,อะหมัด ,อบูษูรและบรรดานักวิชาการส่วนมาก และหลักฐานของพวกเขาในเรื่องดังกล่าวนั้นคือ หะดิษเศาะเฮียะ รายงานจากอิบนุอับบาสว่า แท้จริง นบี ศอ็ลฯกล่าวว่า (แท้จริงสิ่งที่สมควรจะอาค่าจ้างบนมันคือ กิตาบุลละฮ “ – ดู อัตตะหรีร วัตตันวีร เล่ม 1 หน้า 467
.......
ขอยืนยันว่า หะดิษข้างต้นไม่เกี่ยวกับการว่าจ้างหรือเอาค่าจ้างอ่านอัลกุรอ่านโอนบุญให้คนตาย
อิบนุ อบิลอิซ อัลหะนะฟีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า
وَأَمَّا اسْتِئْجَارُ قَوْمٍ يَقْرَءُونَ الْقُرْآنَ وَيُهْدُونَهُ لِلْمَيِّتِ فَهَذَا لَمْ يَفْعَلْهُ أَحَدٌ مِنَ السَّلَفِ وَلَا أَمَرَ بِهِ أَحَدٌ مِنْ أَئِمَّةِ الدِّينِ ، وَلَا رَخَّصَ فِيهِ . وَالِاسْتِئْجَارُ عَلَى نَفْسِ التِّلَاوَةِ غَيْرُ جَائِزٍ بِلَا خِلَافٍ .
และสำหรับการว่าจ้าง กลุ่มคน ให้พวกเขาอ่านอัลกุรอ่าน และอุทิศมันให้แก่ผู้ตาย กรณีนี้ ไม่มีคนใดจากชาวสะลัฟ และไม่มีคนใดจากบรรดาปราชญ์ทางศาสนา สั่งให้ปฏิบัติด้วยมัน และไม่ผ่อนปรน ในมัน และการว่าจ้าง บนตัวของการอ่าน นั้น ไม่อนุญาต โดยปราศจากการขัดแย้ง (ของบรรดานักวิชาการ) - ชัรหอะกีดะฮอัฏเฏาะหาวียะฮ 2/673
........
เพราะแะนั้นไม่ควรนำเอาอัลกุรอ่านหรือหะดิษมาชงหาความชอบธรรมในการหาประโยชน์กับการตาย
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
29/7/59

ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงสถิตย์อยู่เหนือบัลลังก์


الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى
[20.5] ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงสถิตย์อยู่เหนือบัลลังก์
อายะฮข้างต้น นักวิชาการยุคสะลัฟ ยืนยันการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮและไม่มีใครบอกว่า อัลลอฮอาศัยอารัชเป็นที่สถิต แต่คุณโกหกบิดเบือนให้ร้ายและหุกุมมุสลิมด้วยกันว่า มีอะกีดะฮกาเฟร -นะอูซุบิลละฮ คุณปิดบังตัวตนไม่ให้ใครรู้ แต่พึงสังวรณ์ว่า อัลลอฮรู้ว่าคุณคือใคร
ต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งจาก คำอธิบายความหมายอิสติวาอฺ
อิหม่ามอัลบุคอรี (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
قال أبو العالية: "استوى إلى السماء: ارتفع"، وقال مجاهد: "استوى: علا على العرش
อบุลอะลียะฮ กล่าวว่า คำว่า استوى إلى السماء" หมายถึง สูง และมุญาฮิด กล่าวว่า "استوى" หมายถึง อยู่สูงเหนืออะรัช -ฟัตหุลบารีย์ 13/403
أنبأنا ابن سلامة ، عن أبي جعفر الطرسوسي ، عن يحيى بن منده ، ثنا أحمد بن الفضل الباطرقاني ، سمعت أبا عمر السلمي ، سمعت أبا حفص الرفاعي ، سمعت عمرو بن تميم المكي ، سمعت محمد بن إسماعيل الترمذي ، سمعت المزني ، يقول : " لا يصح لأحد توحيد حتى يعلم أن الله على العرش بصفاته . قلت : مثل أي شيء ؟ قال : سميع بصير عليم قدير " . أخرجها ابن منده في تاريخه .
คำแปลตัวบท
อัลมะซานีย์ (ศิษย์ิหม่ามชาฟิอี)กล่าวว่า " เตาฮีดของคนหนึ่งคนใด จะใช้ไม่ได้(ไม่เศาะ)จนกว่า เขารู้ว่า แท้จริงอัลลอฮ ทรงอยู่เหนืออะรัช ด้วยบรรดาคุณลักษณะของพระองค์ ,ข้าพเจ้ากล่าวว่า เหมือนกับสิ่งใหนหรือ? เขากล่าวว่า " ทรงได้ยิน,ทรงเห็น,ทรงรู้ ,ทรงสามารถ-บันทึกโดยอิบนุมันดะฮในตาริคของเขา -อัลอุลูว หะดิษหมายเลข 347
คำว่าสถิต ก็คือ อยู่ สถิตบนอะรัช ก็คืออยู่บนอะรัช คืออยู่เหนืออะรัช ไม่ได้อาศัยอะรัช อย่างที่คุณโกหกบิดเบือนให้ร้ายคนที่เชื่อในการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ
روى ابن شقيق أنه قيل لابن المبارك: "كيف نعرف ربنا؟"
قال: ;بأنه فوق السماء السابعة على العرش، بائن من خلقه
อิบนุชะกีก ได้รายงานว่า มีผู้กล่าวแก่อิบนุอัลมุบารอ็กว่า "ท่านรู้จักพระเจ้าของเราอย่างไร เขากล่าวว่า " พระองค์ทรงอยู่เหนือฟากฟ้าชั้นเจ็ด บนอะรัช แยกจากมาคลูคของพระองค์ (1)
..........
(1) الرد على الجهمية للدارمي (ص39-40) بسند حسن، عن الحسن بن الصباح البزاز ثنا علي بن الحسن بن شقيق. وعبد الله بن أحمد بن حنبل في كتابه "السنة" (ص175) عن عبد الله بن شبويه عن ابن شقيق. ورواها غيرهما كثير بعضهم نقلا عن هؤلاء وبعضهم بأسانيدهم
......
คำว่า แยกออกจากมัคลูค
معنى أن الله بائن من خلقه: أي أنه منفصل عن المخلوقات، فليس في ذاته شيء من مخلوقاته، ولا في مخلوقاته شيء من ذاته. ولا يحويه أو يُحيط به شيء من خلقه.
ความหมายคำว่า อัลลอฮแยกออกจากมัคลูคของพระองค์ หมายถึง พระองค์ทรงแยกออกจากบรรดามัคลูค ไม่มีสิ่งใดจากมัคลูคของพระองค์ อยู่ในซาต(ตัวตน)ของพระองค์ และไม่มีสิ่งใดจากซาตของพระองค์ อยู่ในมัคลูค และไม่มีสิ่งใดจากมัคลูคของพระองค์บรรจุและห้อมล้อม พระองค์
อิหม่ามกุตัยบะฮ บิน สะอีด (ฮ.ศ 240) กล่าวว่า
هذا قول الأئمة في الإسلام وأهل السنة والجماعة : نعرف ربنا عز وجل في السماء السابعة على عرشه ، كما قال ( الرحمن على العرش استوى )
นี่คือทัศนะของบรรดาอิหม่ามในอิสลาม และอะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ " เรารู้จักพระผู้อภิบาลของเรา ผู้ทรงสูงสุ่งและทรงเลิศยิ่ง อยู่บน ฟากฟ้าที่เจ็ด บนอะรัชของพระองค์ ดังที่ทรงตรัสว่า (ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงสถิตย์อยู่เหนือบัลลังก์ )-สิยัรเอียะลามอัลนุบะลาอฺ ของอิหม่ามอัซซะฮะบีย์ เล่ม 11หน้า 20 (ดูสำเนาที่แนบ)
.............

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

วิภาษการอ้างเท็จของคนดันทุรังจะจูบกุโบร์


วิภาษการอ้างเท็จของคนดันทุรังจะจูบกุโบร์

Nazaie Al-baihagi
9 ชม.

ต่อไปนี้คือบทวิภาษบทความของเวาะสัน สะเดา
การลูบ และจูบกุโบร์นั้น เป็นสิ่งอนุญาตทีปราชย์ชาวอะฮลุสซุนนห์วัลญะมาอะห์ของแท้ ส่งเสริมให้ทำ เช่น ท่านอะหมัด(รฮ)
บันทึกจากท่านอับดุลลอฮฺ บุตรของท่านอิหม่ามอะหมัด อิบนุ ฮัมบัล ปราชญ์ใหญ่แห่งสะลัฟว่า
“ ท่านอิหม่ามอะหมัด อิบนุฮัมบัล(ปราชญ์หัวหน้ามัษฮับฮัมบะลีย์แห่งยุคสะลัฟศอลิห์)ถูกถามเรื่องชายผู้หนึ่งที่ทำการลูบสัมผัสมิมบัรของท่านนะบีย์ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ชายผู้นั้นได้ทำการเอาบะรอกัตด้วยการสัมผัส และก็ได้ทำการจูบมิมบัรนั้น และเขาก็กระทำการดังกล่าวที่สุสาน เพื่อหวังความใกล้ชิดไปยังอัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่เกรียไกร ท่านอิหม่ามอะหมัดตอบว่า : ไม่เป็นไร : ”
อัลอิลัล เล่ม 2, หน้าที่ 492.

ท่านอัซซะฮะบีย์ ปราชญ์อะฮฺลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (ปี 673-748 ฮิจเราะฮ์) ก็ได้กล่าวว่า

قُلْتُ: أَيْنَ الْمُتَنَطِّعُ الْمُنْكِرُ عَلَى أَحْمَدَ، وَقَدَ ثَبَتَ أَنَّ عَبْدَ اللهِ سَأَلَ أَبَاهُ عَمَّنْ يَلْمَسُ رَمَانَةَ مِنْبَرِ النَّبِيِّ، صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، وَيَمُسُّ الْحُجْرَةَ النَّبَوِيَّةَ، فَقَالَ: لاَ أَرَى بِذَلِكَ بَأْساً. أَعَاذَنَا اللهُ وَإِيَّاكُمْ مِنْ رَأْيِ الْخَوَارِجِ وَمِنَ الْبِدَعِ

“ ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า คนไหนกันที่คิดลึกเลยเถิดที่จะมาตำหนิท่านอะหมัด แท้จริงได้ยืนยันว่า ท่านอับดุลลอฮฺ(บุตรของอิหม่ามอะหมัด)ได้ถามบิดาของเขาจากผู้ที่ลูบขอบมิมบัรของท่านนะบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลัม และสัมผัสห้องของท่านนะบีย์ ท่านบิดา(คืออิหม่ามอะหมัด)กล่าวว่า ฉันเห็นว่าสิ่งดังกล่าวนั้น ไม่เป็นไร. (ท่านอัซซะฮะบีย์กล่าวว่า) ขออัลลอฮฺทรงให้เราและพวกท่านพ้นจากความเห็นของพวกค่อวาริจญฺและบิดอะฮ์ทั้งหลายด้วยเถิด ”
ซิยัรอะอฺลาม อันนุบะลาอฺ เล่ม 11, หน้า 212.
……..
ส่วนกรณีที่เวาะสัน สะเดา อ้างว่า.ท่านอิหม่ามอะหมัด(รฮ)ไม่ได้ส่งเสริมให้จูบกุโบร์ โดยเวาะสันอ้างว่า สายรายงานดังกล่าวปราชญมัซฮับหัมบะลี(รฮ)บางคน บอกว่า ไม่ศอเหียะ(ถูกต้อง)..
คำกล่าวนี้.เวาะสัน สะเดา เป็นคนเพิ่มเติมเข้าไปเอง..จริงๆแล้วปราชย์บางคนที่กล่าววิจาณ์นั้นหมายถึงสายรายงานนี้ไม่ถึงขั้น ซอเหียะ.แต่ไม่ได้หมายความว่ารายงานนี้ มันดออีฟญิดัน ซึ่งบางที่มันหมายถึงว่า สายรายงานนี้ มันอยู่ในระดับ ฮะซัน นั้นเอง..

.............
@@@@@@@@@@@@

ขี้แจง

การสัมผัส ลูบ และจูบกุโบร เพื่อเอาบะเราะกัต เป็นอุตริกรรม หรือบิดอะฮ ที่ไม่ปรากฏในคำสอนศาสนาอิสลาม ไม่ว่าในอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ และไม่ปรากฏรายงานที่เศาะเฮียะว่าบรรดาเคาะลิฟะฮทั้งสี่ ได้ปฏิบัติ และไม่ปรากฏเป็นอิจญมาอฺ ที่ใช้เป็นหลักฐานได้ แต่คุณ
Nazaie Al-baihagi บอกว่า เป็นสิ่งอนุญาตทีปราชย์ชาวอะฮลุสซุนนห์วัลญะมาอะห์ของแท้ ส่งเสริมให้ทำ เช่น ท่านอะหมัด(รฮ)
บันทึกจากท่านอับดุลลอฮฺ บุตรของท่านอิหม่ามอะหมัด อิบนุ ฮัมบัล

...........

คำว่า "อนุญาต "ในเรื่องเกี่ยวกับอิบาดะฮ นั้น ถือเป็นหุกุมชัรอีย์ แล้วใครหรือมีสิทธิ์อนุญาตกำหนดรูปแบบอิบาดะฮขึ้นมาใหม่ คือ "จูบกุโบร์ของคนศอลิหเพื่อเอาบะเราะกัต"

ในเรื่อง อิบาดะฮในอิสลาม ต้องมีตัวบทที่เป็นคำสั่งจากอักุรอ่านและอัสสุนนะฮ

الأعمال الدينية لا يجوز أن يتخذ شيء منها سببا إلا أن تكون مشروعة فإن العبادات مبناها على التوقيف

บรรดาการงานที่เกี่ยวกับศาสนานั้น ไม่อนุญาตให้สิ่งใดๆจากมันถูกเอามาเป็น มูลเหตุ(ให้กระทำ)นอกจาก มันเป็นสิ่งที่ถูกบัญญัติไว้แล้ว เพราะแท้จริงบรรดาอิบาดะฮนั้นรากฐานของมันถูกวางอยู่บนการรอคำสั่ง - อัลอาดาบอัชชัรอียะฮ ของอิบนุมุฟลิห เล่ม 2หน้า 265

อัลหาฟิซอิบนุหะญัร (ร.ฮ) กล่าวว่า

قَالَ ابْنُ عَبْدِ الْبَرِّ وَغَيْرُهُ : الْحُجَّةُ عِنْدَ التَّنَازُعِ السُّنَّةُ ، فَمَنْ أَدْلَى بِهَا فَقَدْ أَفْلَحَ

อิบนุอับดิลบัรและคนอื่นจากเขา กล่าวว่า "หลักฐาน ในขณะที่มีการเห็นขัดแย้งกันนั้น คือ อัสสุนนะฮ ดังนั้น ผู้ใดอ้างเหตุผล/ชี้แจงด้วยมัน แน่นอนเขาประสบความสำเร็จ

- ดูฟัตหุลบารีย์ เรื่อง بَاب إِذَا أُقِيمَتْ الصَّلَاةُ فَلَا صَلَاةَ إِلَّا الْمَكْتُوبَةَ อธิบายหะดิษหมายเลข 632
...........
ใหนหรือหลักฐานจากอัสสุนนะฮ ให้ตะบัรรุกด้วยการจูบกุโบร์ ไม่มีเลย มันแค่ความเห็น จะเป็นศาสนบัญญัติในอิสลามได้อย่างไร

การอ้างรายงานจากอิหม่ามอะหมัด (ร.ฮ) ว่าท่านส่งเสริมให้ทำนั้น เป็นการแอบอ้างท่านอิหม่ามอะหมัดนั้น ท่านอัลหาฟิซอิบนุหะญัร(ร.ฮ) ได้อธิบายว่า

فَنُقِلَ عَنِ الْإِمَامِ أَحْمَدَ أَنَّهُ سُئِلَ عَنْ تَقْبِيلِ مِنْبَرِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَتَقْبِيلِ قَبْرِهِ فَلَمْ يَرَ بِهِ بَأْسًا ، وَاسْتَبْعَدَ بَعْضُ أَتْبَاعِهِ صِحَّةَ ذَلِكَ ،

ได้ถูกรายงานจาก อิหม่ามอะหมัด ว่าเขาถูกถามเกี่ยวกับ การจูบมินบัร นบี ศอ็ลฯ และการจูบหลุมศพของท่าน แล้วเขาเห็นว่า “ไม่เป็นไร” (อิบนุหะญัรกล่าวว่า) ส่วนหนึ่งของผู้ที่เจริญรอยตามเขา (หมายถึงบรรดาปราชญ์มัซฮับอิหม่ามอะหมัด) เห็นว่า รายงานดังกล่าวห่างใกลความถูกต้อง(คือเป็นไปไม่ได้) - ฟัตหุลบารีย 3/475

มาดูคำยืนยันจากอิบนุกุดะฮมะฮ (ร.ฮ) ปราชญมัซฮับ หัมบะลีย์ ดังนี้
อิบนุกุดามะฮ (ฮ.ศ 541 – 620) ปราชญ์อวุโส แห่งมัซฮับหัมบะลีย์กล่าวว่า

وَلَا يُسْتَحَبُّ التَّمَسُّحُ بِحَائِطِ قَبْرِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَلَا تَقْبِيلُهُ ، قَالَ أَحْمَدُ : مَا أَعْرِفُ هَذَا . قَالَ الْأَثْرَمُ : رَأَيْت أَهْلَ الْعِلْمِ مِنْ أَهْلِ الْمَدِينَةِ لَا يَمَسُّونَ قَبْرَ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُومُونَ مِنْ نَاحِيَةٍ فَيُسَلِّمُونَ . قَالَ أَبُو عَبْدِ اللَّهِ : وَهَكَذَا كَانَ ابْنُ عُمَرَ يَفْعَلُ

และไม่ชอบ(ไม่ส่งเสริม)ให้ลูบกำแพงหลุมศพนบี ศอ็ลฯ และไม่ส่งเสริมให้จูบมัน ,อะหมัดกล่าวว่า “ฉันไม่รู้จักสิ่งนี้ ,อิบนุ อัลอัษรอม กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็น นักวิชาการชาวมะฮดีนะฮ พวกเขาไม่ได้สัมผัส หลุมศพนบี ศอ็ลฯ พวกเขายืนข้างๆ แล้วกล่าวสล่าม อบูอับดุลลอฮ กล่าวว่า เช่นนั้นแหละ อิบนุอุมัร ได้ปฏิบัติ – อัลมุฆนีย 3/559
.............
ขนาดอิบนุอุมัร (ร.ฏ) เป็นผู้ที่เคร่งในการปฏิบัติตามสุนนะฮ และรักท่านนบีมาก ท่านยังไม่จูบกุโบร์นบี ศอ็ลฯ แล้วคนอื่นเป็นใคร เขาดีกว่านบีหรือ
คุณ Nazaie Al-baihagi นำคำพูด อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ มาอ้างว่า

قُلْتُ : أَيْنَ الْمُتَنَطِّعُ الْمُنْكِرُ عَلَى أَحْمَدَ ، وَقَدْ ثَبَتَ أَنَّ عَبْدَ اللَّهِ سَأَلَ أَبَاهُ عَمَّنْ يَلْمِسُ رُمَّانَةَ مِنْبَرِ النَّبِيِّ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - وَيَمَسُّ الْحُجْرَةَ النَّبَوِيَّةَ ، فَقَالَ : لَا أَرَى بِذَلِكَ بَأْسًا . أَعَاذَنَا اللَّهُ وَإِيَّاكُمْ مِنْ رَأْيِ الْخَوَارِجِ وَمِنَ الْبِدَعِ

ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า คนไหนกันที่คิดลึกเลยเถิดที่จะมาตำหนิท่านอะหมัด แท้จริงได้ยืนยันว่า ท่านอับดุลลอฮฺ(บุตรของอิหม่ามอะหมัด)ได้ถามบิดาของเขาจากผู้ที่ลูบขอบมิมบัรของท่านนะบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลัม และสัมผัสห้องของท่านนะบีย์ ท่านบิดา(คืออิหม่ามอะหมัด)กล่าวว่า ฉันเห็นว่าสิ่งดังกล่าวนั้น ไม่เป็นไร. (ท่านอัซซะฮะบีย์กล่าวว่า) ขออัลลอฮฺทรงให้เราและพวกท่านพ้นจากความเห็นของพวกค่อวาริจญฺและบิดอะฮ์ทั้งหลายด้วยเถิด ”
ซิยัรอะอฺลาม อันนุบะลาอฺ เล่ม 11, หน้า 212.
....
วิภาษณ์

ใหนหรือครับคุณ Nazaie Al-baihagi ที่อ้างว่าอนุญาตให้จูบกุโบรฺเพื่อตะบัรรุก ในคำพูดที่อิหม่ามอัซซะฮะบีย์อ้างถึง ไม่ได้ระบุ เกี่ยวกับอนุญาตให้จูบกุโบร์ แม้แต่อักษรเดียว แต่กลับมาเป็นหลักฐานอนุญาตให้จูบกุโบร์ -นะอูซุบิลละฮ

ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ) กล่าวว่า

فقد رخص أحمد وغيره في التمسح بالمنبر والرمانة التي هي موضع مقعد النبي صلى الله عليه وسلم ويده ولم يرخصوا في التمسح بقبره .

แท้จริง อะหมัด และคนอื่นจากเขา ผ่อนปรน ในกรณี ลูบมินบัร และ อัรรุมานะฮ ซึ่ง มันคือที่นั่งของท่านนบี ศอ็ลฯ และ(ที่วาง)มือของท่านและพวกเขาไม่ผ่อนปรน ในกรณีลูบกุโบร์ของท่านนบี - อิกติฎออฺอัสสิรอฏิลมุสตะกีม 1/367
...........

อัลมัรดะวีย์ (ร.ฮ) ปราชญมัซฮับหัมบะลีย์ กล่าวว่า

لَا يُسْتَحَبُّ تَمَسُّحُهُ بِقَبْرِهِ عَلَيْهِ أَفْضَلُ الصَّلَاةِ وَالسَّلَامِ عَلَى الصَّحِيحِ مِنْ الْمَذْهَبِ قَالَ فِي الْمُسْتَوْعِبِ : بَلْ يُكْرَهُ قَالَ الْإِمَامُ أَحْمَدُ : أَهْلُ الْعِلْمِ كَانُوا لَا يَمَسُّونَهُ نَقَلَ أَبُو الْحَارِثِ : يَدْنُو مِنْهُ وَلَا يَتَمَسَّحُ بِهِ ،

ไม่ชอบ(ไม่สุนัต) ให้เขาลูบกุโบร์นบี (ศอ็ลฯ) ตามทัศนะที่เศาะเฮียะ จากบรรดามัซฮับ และเขา(มุหัมหมัด บิน อับดุลลอฮ อัสสามิรีย์ ปราชญ์ฮัมบะลี)ได้กล่าวใน อัลมุสเตาฮอิบ" ว่า "ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นมักรูฮ ,อิหม่ามอะหมัด กล่าวว่า "นักวิชาการพวกเขาจะไม่ลูบ มัน(กุบูรนบี) ,อบูอัลหารีษ กล่าวว่า ให้เขาอยู่ใกล้มัน และเขาจะไม่ลูบมัน ดู อันอินศอฟ 4/54

.....
หลักฐานคำยืนยันจากปราชญมัซฮับอิหม่ามอะหมัด เป็นการตอกย้ำว่า รายงานที่อิหม่ามอะฮหมัดอนุญาตให้จูบกุโบรนั้นเป็นรายงานที่แอบอ้าง

ส่วนที่นาย Nazaie Al-baihagi อ้างว่า

ส่วนกรณีที่เวาะสัน สะเดา อ้างว่า.ท่านอิหม่ามอะหมัด(รฮ)ไม่ได้ส่งเสริมให้จูบกุโบร์ โดยเวาะสันอ้างว่า สายรายงานดังกล่าวปราชญมัซฮับหัมบะลี(รฮ)บางคน บอกว่า ไม่ศอเหียะ(ถูกต้อง)..
คำกล่าวนี้.เวาะสัน สะเดา เป็นคนเพิ่มเติมเข้าไปเอง..จริงๆแล้วปราชย์บางคนที่กล่าววิจาณ์นั้นหมายถึงสายรายงานนี้ไม่ถึงขั้น ซอเหียะ.แต่ไม่ได้หมายความว่ารายงานนี้ มันดออีฟญิดัน ซึ่งบางที่มันหมายถึงว่า สายรายงานนี้ มันอยู่ในระดับ ฮะซัน นั้นเอง.
.......
ขอชี้แจงว่า
นาย Nazaie Al-baihagi นั่งเทียนอ้างเท็จโดยปราศจากหลักฐานทางวิชาการ นึกคิดเอง ที่อ้างคำว่า"บางที" แสดงให้เห็นการนั่งปิดตาเดาสุ่มของนาย Nazaie Al-baihagi -

................
والله أعلم بالصواب

อะสัน หมัดอะดั้ม

นบีเนียตอย่างไรในขณะตักบีร


นบีเนียตอย่างไรในขณะตักบีร

อุดม ชาญชัยพิชิต
1 ชม.
ขอท้าวะห์บีทั้งประเทศว่ารู้ไหมว่านบีเนียตอย่างใรในขณะตักเบรอตุ้ลเอี๊ยห์รอมและกรุณานำหลักฐานมาแสดงด้วยครับหรือว่าวะห์บีละหมาดโดยไม่ต้องเนียตเพราะไม่พบหลักฐานจากรุอ่านและหะดิษว่านบี(ซล)เนียตอย่างใร???????
...............

ตอบ

ก่อนอื่นต้องขอมาอัฟท่านปู่อุดม ที่นำมาตอบคำถามที่ท่านท้าในเพจนี้ แต่ก็ถือว่าได้ปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของท่านปู่แล้วเพราะท่านปู่อุดม ท้าทั่วประเทศ

ท่านปู่ถามว่า " ขอท้าวะห์บีทั้งประเทศว่ารู้ไหมว่านบีเนียตอย่างใรในขณะตักเบรอตุ้ลเอี๊ยห์รอม"

กระผมขอตอบอย่างไม่ลังเลว่า " ท่านนบี ศอ็ลฯ เนียตละหมาดในใจโดยไม่กล่าวคำเนียต "ว่าอุศอ็ลลี...."ในขณะตักบีรเราะติลเอียะรอม"
ทั้งนี้ เพราะ คำว่าเนียตมีความหมายในทัศนะปราชญมัซฮับชาฟิอีดังนี้

1.อัลมาวัรดี(ร.ฮ) กล่าวว่า

هي قصد الشيء مقترنًا بفعله،

คือ การเจตนาสิ่งใด พร้อมกับการปฏิบัติมัน

المنثور في القواعد (3/284)، منتهى الآمال (ص: 83).

2. อัลนะวาวีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า

فَالنِّيَّةُ عَزْمُ الْقَلْبِ عَلَى عَمَلِ فَرْضٍ أَوْ غَيْرِ

การเนียตคือ การมีความตั่งใจ ต่อการปฏิบัติสิ่งที่เป็นฟัรดู หรืออื่นจากมัน

المجموع (1/353).

ท่านนบี ศอ็ลฯ กล่าวว่า

إِنَّمَا الْأَعْمَالُ بِالنِّيَّاتِ

ความจริงบรรดาการงานนั้น ด้วยการเจตนา(เนียต) -รายงานโดยมุสลิม
..............
เรียนท่านปู่ว่า
ไม่มีคำสอนจากนบี ศอ็ลฯ ให้บอกกับอัลลอฮดังๆเวลาตักบีรเราะติลเอียะรอมว่า "กูจะละหมาด....."

การกล่าวคำเนียต เป็นเนื้องอกชนิดหนึ่งที่เข้ามาปะปนและเพิ่มเติม ในคำสอนศาสนาโดยไม่มีคำสอนหรือ สุนนะฮจากท่านบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมและเหล่าสาวกของท่าน ดังรายละเอียดต่อไปนี้

ลมาลา อาลี บิน สุลฏอน มุหัมหมัดอัลกอรีย กล่าวว่า

وَقَالَ الْقَسْطَلَّانِيُّ فِي الْمَوَاهِبِ : وَبِالْجُمْلَةِ فَلَمْ يَنْقُلْ أَحَدٌ أَنَّهُ - عَلَيْهِ الصَّلَاةُ وَالسَّلَامُ - تَلَفَّظَ بِالنِّيَّةِ ، وَلَا أَعْلَمَ أَحَدًا مِنْ أَصْحَابِهِ التَّلَفُّظَ بِهَا

และอัลกอสฏอลานีย์ กล่าวในอัลมะวาฮิบว่า “ และสรุป ว่า ไม่มีคนใดรายงานว่า นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวคำเนียต และข้าพเจ้าไม่เคยทราบว่าคนหนึ่งคนใด จากบรรดาเศาะหาบะฮ กล่าวคำเนียต – ดูมิรกอตุลลมะฟาติห ชัรหุ มิชกาตุลมะศอเบียะ หะดิษหมายเลข 1 เรื่องการเนียต

อิบนุอบิลอิซ อัลหะนะฟีย์ นักวิชาการมัซฮับหะนะฟีย์ กล่าวว่า

لم يقل احد من الأئمة الأربعة لا الشافعي و لا غيره باشتراط التلّفظ بها و إنما النية محلها القلب باتفاقهم , إلاّ أن بعض المتأخرين أوجب التلّفظ بالنية و خرج وجها في مذهب الشافعي ! قال النووي : و هو غلط . انتهى .

ไม่มีคนหนึ่งคนใดจากอิหม่ามทั้งสี่ ไม่ว่าจะเป็นชาฟิอีและอื่นจากเขาก็ไม่มี กล่าวกำหนดเงื่อนไขการกล่าวคำเนียต และความจริงการเนียตนั้น สถานที่ของมันคือ หัวใจ ด้วยการเห็นฟ้องของพวกเขา (ของอิหม่ามทั้งสี่) ยกเว้น บางส่วนของนักวิชาการยุคหลัง ที่กำหนด วาญิบจะต้องกล่าวคำเนียตและได้อธิบายออกมาว่าเป็นแนวทางหนึ่ง ในมัซฮับ(ทัศนะ)ของอิหม่ามชีฟิอี ,อิหม่ามนะวาวีย์กล่าวว่า “ มันคือ ความเข้าใจที่ผิดพลาด – ดู อัลอิตบาอฺ หน้า ๖๒

......................


والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

จะเนียตละหมาดตอนใหน


จะเนียตละหมาดตอนใหน

การเนียตละหมาดเป็นประเด็นถกเถียงกันมากในอดีตว่า เวลาละหมาดแล้วเนียตตอนใหน

อิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ) กล่าวว่า

وَالنِّيَّةُ لَا تَقُومُ مَقَامَ التَّكْبِيرِ وَلَا تَجْزِيهِ النِّيَّةُ إلَّا أَنْ تَكُونَ مع التَّكْبِير لَا تَتَقَدَّمُ التَّكْبِيرَ وَلَا تَكُونُ بَعْدَهُ

และการเนียต นั้น มันไม่ได้แทนที่ของการตักบีร และการเนียตนั้นจะใช้ไม่ได้นอกจาก มันต้องพร้อมกับการตักบีร มันจะไม่อยู่ก่อนการตักบีรและจะไม่อยู่หลังจากจากการตักบีร - อัลอุม ๑/๑๒๑

อิหม่ามอันนะวาวีย์ (ร.ฮ)กล่าวว่า

قَالَ الشَّافِعِيُّ رَحِمَهُ اللهُ فِى الْمُخْتَصَرِ : وَإِذَا أَحْرَمَ نَوَى صَلاَتَهُ فِي حَالِ التَّكْبِيْرِ لاَبَعْدَهُ وَلاَ قَبْلَهُ وَقَالَ أَبُوْ حَنِيْفَةَ وَأَحْمَدُ يَجُوْزُ أَنْ تَتَقَدَّمَ النِّيَّةُ عَلَى التَّكْبِيْرِ بِزَمَانٍ يَسِيْرٍ بِحَيْثُ لاَ يَعْرِضُ شَاغِلٌ عَنِ الصَّلاَةِ وَقَالَ يَجِبُ أَنْ تَتَقَدَّمَ النِّيَّةُ عَلَى التَّكْبِيْرِ وَيُكَبِّرَ عَقِبَهَا بِلاَ فَصْلٍ وَلاَ يَجِبُ فِى حَالِ التَّكْبِيْرِ. وَقَالَ أَبُوْ يُوْسُفَ وَغَيْرُهُ مِنْ أَصْحَابِ أَبِى حَنِيْفَةَ إِذَا خَرَجَ مِنْ مَنْزِلِهِ قَاصِدًا صَلاَةَ الظُّهْرِ مَعَ الاِمَامِ فَانْتَهَى إلَيْهِ وَهُوَ فِى الصَّلاَةِ فَدَخَلَ مَعَهُ فِيْهَا وَلَمْ يَحْضُرْهُ أنَّهَا تِلْكَ الصَّلاَةُ أَجْزَأَهُ

และชาฟิอี (ร.ฮ)ได้กล่าวไว้ใน อัลมุคตะศอรฺ ว่า " และเมื่อทำการตักบีรเตาะติลเอียะรอม เขาก็เนียตละหมาดของเขาในขณะที่ตักบีร จะไม่อยู่ก่อนหรือหลังจากตักบีร ,อบูหะนีฟะฮและอะหมัด อนุญาตให้การเนียตอยู่ก่อนตักบีรได้ ด้วยเวลาเล็กน้อย โดยที่อย่าให้ปรากฏสิ่งที่ทำให้สาละวนจากการละหมาด และเขา(อะหมัด) กล่าวว่าวายิบ(จำเป็น)ให้การเนียตก่อนการตักบีร และให้เขาตักบีรถัดจากการเนียต โดยไม่แยกจากกันและไม่จำเป็นต้อง(ต้องเนียต)ในขณะตักบีร และอบูยูซูฟและคนอื่นจากเขา จากบรรดาศานุศิษย์ของอบีหะนีฟะฮ กล่าวว่า "เมื่อออกจากสถานที่อาศัยของเขา โดยเจตนา จะละหมาดซุฮรี พร้อมกับอิหม่าม แล้วเขาก็ถึงไปยังอิหม่าม โดยที่อิหม่ามอยู่ในละหมาด(หมายถึงกำลังละหมาด) แล้วเขาผู้นั้นก็เข้าสู่ละหมาดพร้อมกับอิหม่าม โดยที่การเนียตละหมาดนั้นไม่ได้ปรากฏในใจของเขา (ในขณะนั้น) ก็ถือว่าใช้ได้ - อัลมัจญมัวะ ชัรหอัลมุฮัซซับ ๑/๒๗๗-๒๗๘

....................
เนียตตอนใหน?
นักวิชาการเห็นต่างดังนี้
๑. ชาฟิอี ต้องเนียตพร้อมกับตักบีร
๒. อบูหะนีฟะฮ และอิหม่ามอะหมัด ให้เนียตก่อนตักบีรเล็กน้อย(ไม่นาน)
๓. ศิษย์อบูหะนีฟะฮ บางท่าน เนียตตอนออกจากบ้านไปมัสยิดก็ใช้ได้
๔. มัซฮับมาลิก เนียตก่อนตักบีรได้ แม้จะเป็นระยะเวลายาวนานก็ตามตราบใดไม่เปลี่ยนเนียตไปเป็นอย่างอื่น

อิบนุอับดิลบัร (ร.ฮ) กล่าวว่า

وتحصيل مذهب مالك أن المصلي إذا قام إلى صلاته أو قصد المسجد فهو على نيته وإن غابت عنه إلا أن يصرفها إلى غير ذلك

สรุปมัซฮับมาลิก คือ แท้จริงผู้ที่ละหมาด เมื่อเขาจะละหมาดของเขาหรือประสงค์จะไปละหมาดที่มัสยิด เขาก็อยู่บนการเนียตของเขาและแม้ว่า มัน(การเนียต)นั้นจะหายไปจากเขาก็ตาม ยกเว้น เขาเปลี่ยนมัน(การเนียต)ไปเป็นอื่นจากดังกล่าว - อัลกาฟีย์ ฟี ฟิฮอะฮลิลมะดีนะฮ อัลมาลิกีย์ ของอิบนุอับดิลบีร หน้า ๓๙

>>>>>>>>>>>>>>

มาดูฟัตวา ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ)

وَسُئِلَ عَمَّنْ يَخْرُجُ مَنْ بَيْتِهِ نَاوِيًا الطَّهَارَةَ أَوْ الصَّلَاةَ . هَلْ يَحْتَاجُ إلَى تَجْدِيدِ نِيَّةٍ غَيْرِ هَذِهِ عِنْدَ فِعْلِ الطَّهَارَةِ أَوْ الصَّلَاةِ ؟ أَوْ لَا ؟ وَهَلْ التَّلَفُّظُ بِالنِّيَّةِ سُنَّةٌ أَمْ لَا ؟ .

และเขา(อิบนตัยมียะฮ) ถูกถามเกี่ยวกับผู้ที่ออกจากบ้านของเขา โดยเนียตทำความสะอาดหรือเนียตละหมาด,ว่าเขาจำเป็นจะต้องเนียตใหม่อื่นจากนี้หรือไม่ ขณะที่เขาทำความสะอาดหรือทำการละหมาดหรือว่าไม่ต้องเนียตใหม่? และการกล่าวคำเนียต เป็นสุนนะฮหรือไม่?

فَأَجَابَ : الْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعَالَمِينَ سُئِلَ الْإِمَامُ أَحْمَد عَنْ رَجُلٍ يَخْرُجُ مِنْ بَيْتِهِ لِلصَّلَاةِ هَلْ يَنْوِي حِينَ الصَّلَاةِ ؟ فَقَالَ : قَدْ نَوَى حِينَ خَرَجَ وَلِهَذَا قَالَ أَكَابِرُ أَصْحَابِهِ - كالخرقي وَغَيْرِهِ - يُجْزِئُهُ تَقْدِيمُ النِّيَّةِ عَلَى التَّكْبِيرِ مِنْ حِينِ يَدْخُلُ وَقْتُ الصَّلَاةِ وَإِذَا كَانَ مُسْتَحْضِرًا لِلنِّيَّةِ إلَى حِينِ الصَّلَاةِ أَجْزَأَ ذَلِكَ بِاتِّفَاقِ الْعُلَمَاءِ . فَإِنَّ النِّيَّةَ لَا يَجِبُ التَّلَفُّظُ بِهَا بِاتِّفَاقِ الْعُلَمَاءِ
เขาตอบว่า "มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮ พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก" อิหม่ามอะหมัด ถูกถามเกี่ยวกับ ชายคนหนึ่ง ที่ออกจากบ้านของเขา เพื่อละหมาด เขาจะเนียตขณะที่ละหมาดหรือ? เขา(อิหม่ามอะหมัด)กล่าวว่า "แท้จริงเขาเนียตขณะที่เขาออก(จากบ้าน) และเพราะเหตุนี้ บรรดาศานุศิษย์ระดับอวุโสของเขาเช่น อัลคอ็รกีย์ และคนอื่นจากเขา ถือว่า การเนียตก่อนการตักบีร ในขณะที่เข้าเวลาละหมาด นั้นใช้ได้ และเมื่อปรากฏว่า การเนียตยังคงอยู่ในใจจนกระทั่งละหมาด ดังกล่าวนั้นใช้ได้ ด้วยมติเห็นฟ้องของบรรดานักปราชญ์ และแท้จริงการเนียตนั้น ไม่จำเป็นต้องกล่าวมันเป็นถ้อยคำ ด้วยมติเห็นฟ้องของบรรดานักปราชญ์ - มัจญมัวะอัลฟะตาวา ๒๒/๒๒๘

..............ง
จะพบว่า คนบางคน ที่อ้างมัซฮับชาฟิอียะฮ การเนียตและการตักบีร ของเขา กว่าจะสตาร์ทติดแล้วเข้าเกียร์ได้ก็ตักบีรหลายครั้งและยาวจนเกือบจะสิ้นลมปราณ
ทั้งนี้ เพราะในขณะที่อ่านอุศอ็ลลีและพอเวลากล่าวตักบีรเราะติลเอียะรอมนั้น เขาอ่านคำเนียตในใจว่า "ข้าพเจ้าละหมาดฟัรดูมัฆริบ ๓ รอ็กอัต ตามอิหม่ามเพื่ออัลลอฮ" ให้คำนี้อยู่ในระหว่างกล่าวคำว่า "อัลลอฮุอักบัร" ห้ามอยู่ก่อนห้ามอยู่หลังตักบีร " เลยเป็นเหตุให้บางคนสตา์ทเครื่องหลายครั้งกว่าจะเนียตได้ และตักบีรยาว และยาว ปานจะขาดใจ

والله أعلم بالصواب

อะสัน หมัดอะดั้ม

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอะซีมัต ภาค 3


ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอะซีมัต ภาค 3

เช็ค มุหัมหมัด บิน ศอลิหฺ อัลอุษัยมีน กล่าวว่า

وأما إذا كانت التمائم من القرآن أو من أدعية مباحة ، فقد اختلف العلماء في تعليقها ، سواء علقها في الرقبة أو على العضد أو على الفخذ أو جعلها تحت وسادته أو ما أشبه ذلك ، والراجح من أقوال أهل العلم عندي أنها لا تجوز لأن ذلك لم يرد عن النبي صلى الله عليه وسلم وليس من حقنا أن نثبت سببا لم ترد به الشريعة

สำหรับเมื่อปรากฏว่า อัตตะมาอิม(เครื่องราง/หรืออะซีมัต)นั้นมาจากอัลกุรอ่านหรือจากบรรดาดุอาที่สิ่งอนุญาต ,บรรดานักวิชาการมีความเห็นขัดแย้งกัน ในกรณีการนำมันมาแขวน ไม่ว่าแขวนที่คอ หรือ ที่แขน หรือที่ขา หรือวางมันไว้ใต้หมอนของเขา หรือนทำนองนั้น และ ทัศนะของนักวิชาการที่มีน้ำหนัก ในทัศนะข้าพเจ้าคือ ไม่อนุญาต เพราะดังกล่าวนั้น ไม่มีรายงานจากนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะศอ็ลลัม และไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะมารับรองเหตผล ซึ่ง บทบัญญัติไม่ได้ระบุไว้ด้วยมัน – ดู ฟะตาวา เช็ค มุหัมหมัด บิน ศอลิหฺอัลอุษัยมีน หน้า 381

ฟัตวาอัลลุจญนะฮ

اتفق العلماء على تحريم لبس التمائم إذا كانت من غير القرآن ، واختلفوا إذا كانت من القرآن ، فمنهم من أجاز لبسها ومنهم من منعها ، والقول بالنهي أرجح لعموم الأحاديث ولسدِّ الذريعة

บรรดานักวิชาการ เห็นฟ้องกัน ถึงการห้าม(หะรอม)ส่วมใส่/ใช้เครื่องราง(อัตตะมาอิม) เมื่อปรากฏว่ามันไม่ได้มาจากอัลกุรอ่าน และพวกเขามีความเห็นขัดแย้งกัน เมื่อมันมาจากอัลกุรอ่าน ,ส่วนหนึ่งจากพวกเขา อนุญาตให้ใช้ได้ และส่วนหนึ่งจากพวกเขา คือ ผู้ที่ห้ามจากมัน และทัศนะที่ห้าม มีน้ำหนักกว่า เพราะ ความหมายกว้างๆของบรรดาหะดิษ(ที่ห้าม) และ เพราะเพื่อป้องกัน สิ่งที่ไม่ดีที่จะตามมา (สัดดุซซะรอเอียะ) – ฟัตวาอัลลุจญนะฮอัดดาอิมฯ เล่ม 1 หน้า 212
@@@
การแขวนอะซีมัตที่เขียนด้วยอัลกุรอ่าน ไม่มีแบบอย่างจากท่านนบี ศอ็ล ฯและในยุคสะลัฟมีความเห็นขัดแย้งกัน เพราะฉะนั้น ที่ปลอดภัยที่สุดคือ ขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮ โดยตรง ไม่ต้องผ่านอะซีมัต

ดุอาขอความคุ้มครอง

ไม่มีบ่าวคนใดกล่าวดุอาอฺต้นนี้ในยามเช้าและยามเย็น 3 ครั้ง เขาจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ คือ

بِسْمِ اللهِ الَّذِيْ لا يَضُرُّ مَعَ اسْمِهِ شَيْءٌ في الأَرْضِ وَلا في السَّمَاءِ وَهُوَ السَّمِيْعُ العَلِيْم

[ บิสมิลลาฮิลละซียฺ ลายะฎุรรุ มะอัสมิฮี ชัยอุน ฟิลอัรฎิ วะลาฟิสสะมาอฺ วะฮุวัสสะมีอุลอุลีม ]

ความว่า “ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ซึ่งไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดในชั้นฟ้าและแผ่นดินจะทำอันตรายใดๆ ในขณะที่มีการกล่าวพระนามของพระองค์อยู่ และพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยินทรงรอบรู้” (บันทึกโดยอัตติรมิซียฺ และว่าเป็นหะดีษศ่อเฮี้ยะฮฺ

والله أعلم بالصواب

อะสัน หมัดอะดั้ม

ข้อเท็จจริงเรื่องอะซีมัต ภาค 2


ข้อเท็จจริงเรื่องอะซีมัต ภาค 2

เช็คศอลิหอัลเฟาซาน กล่าวว่า

* وقد يكون المعلق من القرآن ، فإذا كان من القرآن فقد اختلف العلماء في جوازه وعدم جوازه 0 والراجح عدم جوازه سدا للذريعة فإنه يفضي إلى تعليق غير القرآن ، ولأنه لا مخصص للنصوص المانعة من تعليق التمائم كحديث ابن مسعود – رضي الله عنه – قال : سمعت رسول الله صلى الله عليه وسلم يقول : ( إن الرقى والتمائم والتولة شرك ) ( صحيح الجامع 1632 ) رواه أحمد وأبو داوود وعن عقبة بن عامر - رضي الله عنه - مرفوعا ( من علق تميمة فقد أشرك ) ( صحيح الجامع 6394 ) ، وهذه نصوص عامة لا مخصص لها

และบางที สิ่งที่ถูกนำมาแขวน(เป็นอะซีมัตนั้น) มาจากอัลกุรอ่าน แท้จริง บรรดานักวิชาการได้เห็นต่างกัน ในเรื่องอนุญาตและไม่อนุญาต และที่มีน้ำหนักนั้น ไม่อนุญาต เป็นการป้องกันสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่จะตามมาภายหลัง เพราะแท้จริงมันจะนำไปสู่ การแขวน อื่นจากอัลกุรอ่าน และเพราะแท้จริง ไม่มีสิ่งที่มาจำกัด ตัวบทที่ห้ามการแขวนเครื่องราง ดังหะดิษมัสอูด(ร.ฎ เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้ยินรซูลุลลอฮ สอ็ลฯ กล่าวว่า ( อันที่จริงแล้วการเสกเป่าต่าง ๆ เครื่องรางของขลังต่าง ๆ และเครื่องของเสน่ห์ต่าง ๆ นั้น เป็นการตั้งภาคี..- อัศเศาะเฮียะญาเมียะ หะดิษหมายเลข ๑๖๓๒ รายงานโดยอะหมัด และอบูดาวูด และรายงานจากอุกบะฮ บิน อามีร (ร.ฎ) เป็นหะดิษมัรฟัวะ(หมายถึงสืบไปถึงนบี)ว่า ผู้ใดแขวนเครื่องราง แน่นอน เขาได้ตั้งภาคีแล้ว) - เศาะเฮียะอัลญาเมียะ หะดิษหมายเลข ๖๓๙๔ และนี้คือ ตัวบท/หลักฐาน ที่ระบุเอาไว้โดยกว้างๆ โดยไม่มีสิ่งที่ถูกให้มาจำกัด/หรือยกเว้น สำหรับมัน – ดู อัลอิรชาดอิลาเศาะเฮียะอัลเอียะติกอด เล่ม ๒ หน้า ๘๓
หลายคนอ้างสะลัฟ มาเป็นหลักฐาน โดยคิดว่าถ้าชาวสะลัฟคนใดคนหนึ่งทำอะไร ก็คือหลักฐานทางศาสนบัญญัติหมด ขอเรียนว่าผู้รู้ยุคสะลัฟมีมากมาย และหลายประเด็นพวกเขาก็เห็นต่างกัน เพราะฉะนั้น มาดูว่าเราจะอ้างสะลัฟมาเป็นหลักฐานอย่างไร
ความจริง คำพูดสะสัฟที่เป็นหลักฐานนั้นคือ อิจญมาอฺสะลัฟ ไม่ใช่คนใดคนหนึ่งพูดหรือทำในยุคสามร้อยปีแรกแล้วเป็นศาสนบัญญัติหมด
มาดูตัวอย่าง กฎ/หลักการ ของ อิบนุญะรีร ปราชญ์ยุคสะลัฟ ในประเด็น การกล่าวบิสมิลละฮ ในการเชือดสัตว์ดังนี้

وَقَدْ نَقَلَ ابْنُ جَرِيرٍ وَغَيْرُهُ . عَنِ الشَّعْبِيِّ ، وَمُحَمَّدِ بْنِ سِيرِينَ ، أَنَّهُمَا كَرِهَا مَتْرُوكَ التَّسْمِيَةِ نِسْيَانًا ، وَالسَّلَفُ يُطْلِقُونَ الْكَرَاهِيَةَ عَلَى التَّحْرِيمِ كَثِيرًا ، وَاللَّهُ أَعْلَمُ . إِلَّا أَنَّ مِنْ قَاعِدَةِ ابْنِ جَرِيرٍ أَنَّهُ لَا يَعْتَبِرُ قَوْلَ الْوَاحِدِ وَلَا الِاثْنَيْنِ مُخَالِفًا لِقَوْلِ الْجُمْهُورِ ، فَيُعِدُّهُ إِجْمَاعًا .

และแท้จริง อิบนุญะรีร และผู้อื่นจากเขา ได้รายงานจาก อัชชุอฺบีย์ และมุหัมหมัด บิน สิรีน ว่าทั้งสองกล่าวว่า มักรูฮ ละทิ้งการกล่าวบิสมิลละฮ เพราะลืม และชาวสะลัฟ กล่าวคำว่า “มักรูฮ”บนความหมายคำว่า หะรอมนั้นมีมากมาย และอัลลอฮเท่านั้นทรงรู้ยิ่ง นอกจาก ว่าแท้จริงส่วนหนึ่งจากกฎ/หลักการ ของอิบนุญะรีร แท้จริง คำพูดของคนๆเดียวและคนสองคน ที่ขัดแย้งกับทัศนะนักวิชาการส่วนใหญ่(ญุมฮูร) จะไม่ถูกพิจารณา (มาเป็นหลักฐาน) ที่จะถูกนับว่าเป็นอิจญมาอฺ - ตัฟสีร อิบนุกะษีร เล่ม 3 หน้า 326
………
กล่าวคือ กฎหรือหลักการของอิบนุญะรีรนั้น คำพูดของคนๆเดียวหรือคนสองคนจะไม่ถูกพิจารณา เมื่อมันขัด แย้งกับกับทัศนะนักวิชาการส่วนใหญ่(ญุมฮูร) ที่พิจารณาคือ อัลอิจญมาอฺ หมายถึง มติของชาวสะลัฟ
ในประเด็นการแขวนอะซีมัตที่ทำด้วยอัลกุรอ่าน ไม่ได้เป็นมติของ ชาวสะลัฟ
หมายเหตุ ถ้าเป็นคำพูดและการกระทำของเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีนเป็นหลักฐานได้เพราะนบี ศอ็ลฯได้รับรองไว้แล้ว

والله أعلم بالصواب

อะสัน หมัดอะดั้ม

ข้อเท็จจริงเรื่องอะซีมัต (ภาค ๑)



ข้อเท็จจริงเรื่องอะซีมัต (ภาค ๑)

มีการอ้างะดิษข้างล่างทำอะซีมัตจากอัลกุรอ่าน

عَنْ عَمْرِو بْنِ شُعَيْبٍ ، عَنْ أَبِيهِ ، عَنْ جَدِّهِ ، قَالَ : كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يُعَلِّمُنَا كَلِمَاتٍ نَقُولُهُنَّ عِنْدَ النَّوْمِ مِنَ الْفَزَعِ : " بِسْمِ اللَّهِ ، أَعُوذُ بِكَلِمَاتِ اللَّهِ التَّامَّة ، مِنْ غَضَبِهِ وَعِقَابِهِ ، وَشَرِّ عِبَادِهِ ، وَمِنْ هَمَزَاتِ الشَّيَاطِينِ ، وَأَنْ يَحْضُرُونِ " ، قَالَ : فَكَانَ عَبْدُ اللَّهِ بْنُ عَمْرٍو يُعَلِّمُهَا مَنْ بَلَغَ مِنْ وَلَدِهِ أَنْ يَقُولَهَا عِنْدَ نَوْمِهِ ، وَمَنْ كَانَ مِنْهُمْ صَغِيرًا لَا يَعْقِلُ أَنْ يَحْفَظَهَا ، كَتَبَهَا لَهُ ، فَعَلَّقَهَا فِي عُنُقِهِ .

รายงานจากอัมริน บินชุอัยบฺ จากบิดาของเขา จากปู่ของเขาว่าเขากล่าวว่า
ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์(ซ.ล.) ได้สอนพวกเรา กับบรรดาถ้อยคำ โดยให้เราทำการกล่าวมันในขณะที่ทำการนอน อีกทั้งมีความหวาดกลัว ว่า เมื่อบุคคลหนึ่งจากพวกท่านได้มีความหวาดกลัว ดังนั้น เขาก็จงกล่าวว่า ข้าพเจ้าของความคุ้มครอง ด้วยบรรดาถ้อยคำของพระองค์ที่สมบูรณ์ จากความกริ้วและการลงโทษของพระองค์ , จากความชั่วร้ายของปวงบ่าวของพระองค์ , จากบรรดาการล่อลวงของบรรดาชัยฏอน , จากการที่พวกเขาได้ปรากฏตัว? ท่านอับดุลเลาะฮ์ บิน อัมร์ (บินอาซ) ได้สอนถ้อยคำเหล่านั้น กับบุตรของเขาที่บรรลุศาสนภาวะแล้ว ให้ทำการกล่าวมันในขณะที่นอน และสำหรับบุตรของท่านที่ยังไม่บรรลุศาสนภาวะ ท่าน(อับดุลเลาะฮ์ บิน อัมร์) ก็ทำการเขียนถ้อยคำเหล่านั้น หลังจากนั้น ก็นำมันไปแขวนที่คอบุตรของเขา, สุนัน อัตติรมีซีย์ กิตาบอัลดะอะวาต บทที่ 94 , หนังสือมุสนัด อิมามอะหฺมัด เล่ม 2 หน้า 18
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

หะดิษข้างต้น แสดงให้ข้อแตกต่างระว่างการกระทำของนบี ศอ็ล ฯกับ อับดุลลอฮ บิน อัมริน คือ
หนึ่ง – ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม สอนให้อ่าน เพื่อขอความคุ้มครองจากอัลลอฮ
สอง - อับดุลลอฮ บิน อัมริน สอนลูกที่โตแล้ว แต่ลูกที่ยังไม่บรรลุศาสนาภาวะ จะเขียนนำไปแขวนคอ

ในคำอธิบายหะดิษข้างต้น ที่รายงานโดยอิหม่ามอัตติรมิซีย์ ที่อัลมุบาเราะฟุรีย์ กล่าวว่า

قَالَ الشَّيْخُ عَبْدُ الْحَقِّ الدَّهْلَوِيُّ فِي اللُّمَعَاتِ : هَذَا هُوَ السَّنَدُ فِي مَا يُعَلَّقُ فِي أَعْنَاقِ الصِّبْيَانِ مِنَ التَّعْوِيذَاتِ وَفِيهِ كَلَامٌ ، وَأَمَّا تَعْلِيقُ الْحِرْزِ وَالتَّمَائِمِ مِمَّا كَانَ مِنْ رُسُومِ الْجَاهِلِيَّةِ فَحَرَامٌ بِلَا خِلَافٍ انْتَهَى . قُلْتُ : تَقَدَّمَ الْكَلَامُ فِي تَعْلِيقِ التَّعْوِيذَاتِ فِي بَابِ كَرَاهِيَةِ التَّعْلِيقِ مِنْ أَبْوَابِ الطِّبِّ

เช็คอับดุลหัก อัดดะฮละวีย์ ได้กล่าวไว้ใน อัลละมะอาต ว่า “ นี้คือสายรายงาน ที่เกี่ยวกับสิ่งที่ถูกแขวนที่คอเด็กๆ จากอัตตะวีซาต(บรรดาถ้อยคำที่ใช้ขอความคุ้มครอง) และในหะดิษนี้ มีการวิจารณ์ และสำหรับการแขวนของขลัง และเครื่องราง จากสิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบญาฮิลียะฮนั้น เป็นสิ่งต้องห้าม (หะรอม) โดยไม่มีการขัดแย้ง . ข้าพเจ้า (อัลมุบาเราะกะฟูรีย) กล่าวว่า “คำพูดในเรื่อง การแขวนอัตตะวีซาต นั้น ได้กล่าวล่งหน้ามาก่อนแล้ว ในบทว่าด้วยเรื่อง การแขวน จากบรรดาบทว่าด้วยเรื่องการแพทย์ (จากรซูลุลลอฮ) - ดู ตุหฟะตุลอะหวะซีย์ กิตาบุดดะอฺวาต หะดิษหมายเลข 2528
เรื่องนี้ เป็นประเด็นเห็นต่างของชาวสะลัฟดังที่กล่าวมาแล้ว

وقالت طائفة لا يجوز ذلك ، وبه قال ابن مسعود وابن عباس وهو ظاهر قول حذيفة وعقبة ابن عامر وابن عكيم ، وبه قال جماعة من التابعين منهم أصحاب ابن مسعود وأحمد في رواية اختارها كثير من أصحابه وجزم بها المتأخرون واحتجوا بهذا الحديث وما في معناه

และคณะหนึ่ง (ของชาวสะลัฟ) ไม่อนุญาตดังกล่าว และ อิบนุมัสอูด ,อิบนุอับบาส และ เป็นที่ปรากฏทัศนะของ หุซัยฟะฮ ,อุกบะฮ ,อิบนุอุกัยมฺ ได้กล่าวด้วยมัน(ด้วยทัศนะนี้) และ คณะหนึ่งจาก บรรดาตาบิอีน ส่วนหนึ่งจากพวกเขาคือ บรรดาษานุศิษย์ของอิบนุมัสอูด และอะหมัด ในรายงานหนึ่ง ได้กล่าวด้วยมัน(ด้วยทัศนะนี้) ซึ่ง บรรดาสานุศิษย์ของเขาจำนวนมาก ก็ได้เลือกมัน (ได้เลือกทัศนะนี้) และบรรดา นักวิชาการยุคหลัง ได้ตัดสินใจแน่วแน่ด้วยทัศนะนี้ และพวกเขาอ้างหะดิษนี้เป็นหลักฐาน และสิ่งที่อยู่ในความหมายของมัน
มิกาตอัลมะศอเบียะ เล่ม 16 หน้า 746 ฟัตหุลมะญีด หน้า 127

บรรดาเศาะหาบะฮคนสำคัญอีกหลายท่าน ไม่ยอมรับการกระทำนี้ เช่น

وذهب ابن عباس، وابن مسعود، وحذيفة، والأحناف، وبعض الشافعية، ورواية عن أحمد، إلى أنه لا يجوز تعليق شيء من ذلك؛ لما تقدم من النهي العام في الأحاديث السابقة.

อิบนุอับบาส,อิบนุมัสอูด, หุซัยฟะฮ ,อัลอะหฺนาฟ (นักวิชาการมัซฮับหะนะฟี) และ ส่วนหนึ่งของนักวิชาการมัซฮับชาฟิอี และรายงานหนึ่งจากอะหมัด มีทัศนะว่า ไม่อนุญาตให้แขวนสิ่งใดๆจากดังกล่าว(หมายถึงบทดุอาจากอัลกุรอ่านและสุนนะฮ) เพราะคำสั่งห้ามที่ระบุไว้กว้างๆในบรรดาหะดิษที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ – ดู ฟิกฮอัสสุนนะฮ กิตาบุลญะนาอิซ
หะดิษที่ท่านสัยยิดซาบิก กล่าวถึง ส่วนหนึ่งคือ

إن الرقى، والتمائم، والتولة شرك

“อันที่จริงการเสกเป่า เครื่องรางของขลังต่าง ๆ และเครื่องของเสน่ห์ต่าง ๆ นั้น เป็นการตั้งภาคี...” (บันทึกโดยอบูดาวุด : 3883 อะหฺมัด : 3604 อิบนุมาญะฮฺ : 3530
………………….
ขอเรียนว่า ไม่ปรากฏแม้หะดิษสักบทเดียวที่ท่านนบี ศอ็ล สอนให้นำกุรอ่านมาทำเครื่องราง มีแต่สอนให้ปฏิบัติตามคำสอนในอัลกุรอ่าน

ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)ได้กล่าวในตำราของท่าน ภาคอะศูลุลฟิกฮ ว่า

وَأَمَّا أَقْوَالُ الصَّحَابَةِ ؛ فَإِنْ انْتَشَرَتْ وَلَمْ تُنْكَرْ فِي زَمَانِهِمْ فَهِيَ حُجَّةٌ عِنْدَ جَمَاهِيرِ الْعُلَمَاءِ وَإِنْ تَنَازَعُوا رُدَّ مَا تَنَازَعُوا فِيهِ إلَى اللَّهِ وَالرَّسُولِ . وَلَمْ يَكُنْ قَوْلُ بَعْضِهِمْ حُجَّةً مَعَ مُخَالَفَةِ بَعْضِهِمْ لَهُ بِاتِّفَاقِ الْعُلَمَاءِ

สำหรับบรรดาคำพูดของเศาะหาบะฮนั้น หากมันแพร่หลาย และไม่ถูกคัดค้าน ในสมัยของพวกเขา มันคือ หุญญะฮ(หลักฐานนำมาอ้างอิงได้) ในทัศนะนักวิชาการส่วนใหญ่(ญุมฮูร) และถ้าหากพวกเขามีความเห็นขัดแย้งกัน ก็ให้นำสิ่งที่พวกเขาขัดแย้ง กลับไปหาอัลลอฮและรอซูล และ หากทัศนะบางส่วนของพวกเขา(เศาะหาบะฮ) โดยที่อีกส่วนหนึ่งของพวกเขาเห็นต่าง(มีความเห็นขัดแย้ง) จะไม่เป็นหลักฐาน(ที่จะเอามาอ้างอิงได้) ด้วยการเห็นฟ้องของบรรดานักวิชาการ – อัลฟะตาวา เล่ม 20 หน้า 14
..................
สรุปจากคำพูดของอิบนุตัยมียะฮ
หนึ่ง – ทัศนะเศาะหาบะฮ หากปรากฏเป็นที่แพร่หลายในสมัยพวกเขา และไม่มีใครคัดค้าน ก็ถือเป็นหลักฐานได้
สอง – หากทัศนะของเศาะบะฮที่มีเศาะหะบะฮส่วนหนึ่ง มีทัศนะเห็นต่าง หรือขัดแย้งก็ให้นำประเด็นนั้นไปตรวจสอบกับอัลกุรอ่านและหะดิษ เพื่อหาข้อสรุปว่าทัศนะกลุ่มใดตรงกับอัลกุรอ่านและหะดิษ
เพราะฉะนั้น เรื่อง ทำอะซีมัตด้วยอายะฮอัลกุรอ่าน บรรดาเศาะหาบะฮเห็นต่างกัน จึงควรนำไปดูว่าในอัลกุรอ่านสอนให้ทำอะซีมัตหรือไม่ และรอซูลสอนให้ทำอะซีมัตหรือไม่ ถ้าไม่มี ก็ไม่มีน้ำหนักที่จะอ้างคนใดคนหนึ่งมาเป็นหลักฐาน
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

เศาะหาบะฮทำและนบีได้รับรอง เป็นบิดอะฮได้อย่างไร


สิ่งทีใดก็ตามที่ท่านนบี ศอ็ลฯ เห็นบรรดาเหล่าเศาะหาบะฮทำ หากสิ่งนั้น นบีไม่ห้าม ก็ถือว่าท่านนบี ศอ็ลฯรับรอง เขาเรียกว่า "اقرار النبي"(อิกรอ็รนบี)

อัลหาฟิซอิบนุหะญัร (ร.ฮ) กล่าวไว้ว่า

وَقَدِ اتَّفَقُوا عَلَى أَنَّ تَقْرِيرَ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ لِمَا يُفْعَلُ بِحَضْرَتِهِ أَوْ يُقَالُ وَيَطَّلِعُ عَلَيْهِ بِغَيْرِ إِنْكَارٍ دَالٍّ عَلَى الْجَوَازِ

แท้จริง พวกเขา(บรรดานักวิชาการ)เห็นฟ้องกัน ว่า การรับรองของท่านนบี ศอ็ลฯ แก่สิ่งที่ถูกปฏิบัติต่อหน้าท่าน หรือ ถูกกล่าว หรือ ถูกบอกให้ท่านนบีรู้ โดยไม่มีการปฏิเสธ (จากท่านนบี) แสดงบอกว่า เป็นการอนุญาต -ฟัตหุลบารีย์ 13/323

ตัวอย่างเช่น

ท่านอิมามบุคอรี ได้รายงานด้วยสายสืบของท่านไปยัง ท่านอับดิลลาฮ์ อิบนุ อุมัร ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุมา ว่า

قال النبي صلى الله عليه وسلم يوم الأحزاب لا يصلين أحد العصر إلا في بني قريظة فأدرك بعضهم العصر في الطريق فقال بعضهم لا نصلي حتى نأتيها وقال بعضهم بل نصلي لم يرد منا ذلك فذكر ذلك للنبي صلى الله عليه وسلم فلم يعنف واحدا منهم

"ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวในวันสงครามอะห์ซาบว่า คนหนึ่งคนใดจะไม่ละหมาดอัสริ นอกจากที่บนีกุร๊อยเซาะฮ์ ดังนั้นส่วนหนึ่งได้ทำการละหมาดอัสริในระหว่างทาง แต่ซอฮาบะฮ์บางส่วนกล่าวว่า เราจะไม่ละหมาดจนกระทั่งถึงบนีกุร๊อยเซาะฮ์ และบางส่วนกล่าวว่า แต่เราจะทำการละหมาดเพราะท่านร่อซูลุลลอฮ์มิได้มีเป้าหมายดังกล่าวสำหรับเรา เรื่องราวดังกล่าวจึงถูกเรียนแก่ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม โดยที่ท่านไม่ได้ตำหนิคนใดจากพวกเขาเลย" รายงานโดยมุสลิม
.........
ข้างต้นคือ กรณีที่ท่านนบี ศอ็ลฯ ได้รับรองไว้แล้ว ไม่ใช่คิดทำบิดอะฮ แล้วเอาหะดิษนี้มาอ้างว่า อุตริอิบาดะฮ โดยคิดว่าดี โดยอ้างว่านบีไม่ทำก็ทำได้ แล้วนบี ศอ็ลฯรับรองในสิ่งที่ท่านทำหรือเปล่า และสิ่งที่นบี ศอ็ลฯได้รับรองไว้แล้ว จะอ้างว่า เศาะหาบะฮทำบิดอะฮได้อย่างไร

عَنْ قَيْسِ بْنِ عَمْرٍو قَالَ : رَأَى النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ رَجُلًا يُصَلِّي بَعْدَ صَلاةِ الصُّبْحِ رَكْعَتَيْنِ . فَقَالَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : أَصَلاةَ الصُّبْحِ مَرَّتَيْنِ ؟ فَقَالَ لَهُ الرَّجُلُ : إِنِّي لَمْ أَكُنْ صَلَّيْتُ الرَّكْعَتَيْنِ اللَّتَيْنِ قَبْلَهُمَا ، فَصَلَّيْتُهُمَا الأن . قَالَ : فَسَكَتَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ
وَسَلَّمَ .
รายงานจาก กัยสฺ บิน อัมริน กล่าวว่า " ท่านนบี ศอ็ลฯ เห็นชายคนหนึ่ง ละหมาดหลังจากละหมาดศุบฮ 2 รอ็กอัต แล้วทานนบี ศอ็ลฯกล่าวว่า "ท่านละหมาดศุบฮิ สองครั้งหรือ ? ขายผู้นั้นกล่าวแก่ท่านนบีว่า " แท้จริงกระผมไม่ได้ละหมาดสองรอ็กอัตที่อยู่ก่อนมันทั้งสอง ดังนั้น ขณะนี้กระผมจึงได้ละหมาดมันทั้งสอง(รอ็กอัต) เชา(กัยซ บิน อัมริน)กล่าวว่า แล้วท่านนบี สอ็ลฯก็นิ่งเงียบ (คือไม่ได้ตำหนิ)

صححه الألباني في صحيح ابن ماجه (948) .

.....
ข้างก็คือตัวอย่างที่เศาะหาบะฮทำ และท่านนบี ศอ็ลฯไม่ได้คัดค้าน แสดงถึงการรับรองของนบี (อิกรอรนบี)

อีกตัวอย่างคือ

มาดูตัวอย่างการตามสุนนะฮ ตัรกียะฮ(สุนนะฮโดยการทิ้งสิ่งที่นบีไม่ได้ทำคือ ไม่ทำ ในสิ่งที่นบีไม่ทำ)

عَنْ مُجَاهِدٍ ، عَنِ ابْنُ عَبَّاسٍَ ، " أَنَّهُ طَافَ مَعَ مُعَاوِيَةَ بِالْبَيْتِ ، فَجَعَلَ مُعَاوِيَةُ يَسْتَلِمُ الأَرْكَانَ كُلَّهَا ، فَقَالَ لَه : لِمَ تَسْتَلِمُ هَذَيْنِ الرُّكْنَيْنِ ، وَلَمْ يَكُنْ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَسْتَلِمُهُمَا ؟ فَقَالَ مُعَاوِيَةُ لَيْسَ شَيْءٌ مِنَ الْبَيْتِ مَهْجُورًا ، فَقَالَ ابْنُ عَبَّاسٍ : لَقَدْ كَانَ لَكُمْ فِي رَسُولِ اللَّهِ أُسْوَةٌ حَسَنَةٌ سورة الأحزاب آية 21 ، فَقَالَ مُعَاوِيَةُ : صَدَقْتَ

รายงานจาก มุญาฮิด จากอิบนุอับบาส ว่า เขาได้ทำการฏอวาฟ บัยตุลลอฮ พร้อมกับมุอาวิยะฮ แล้วปรากฏว่า มุอาวียะฮได้ลูบ รุกน(มุม)ของบัยตุลลอฮทั้งหมด แล้ว อิบนุอับบาสได้ กล่าวแก่เขา(มุอาวียะฮ)ว่า ทำไมท่านจึงลูบสองรุกนนี้ด้วย ทั้งๆที่ ไม่ปรากฏว่ารซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ลูบมันทั้งสองเลย ? แล้วเขา(มุอาวิยะฮกล่าวว่า “ ไม่มีสิ่งใดจากบัยตุลลอฮ ที่ถูกละทิ้ง (ในการลูบ) แล้ว อิบนุอับบาส ได้กล่าวอายะฮที่ว่า (แท้จริงในศาสนทูตของอัลลอฮนั้น เป็นแบบอย่างที่ดี สำหรับพวกเจ้า) - ซูเราะฮอัลอะฮซาบ/21 แล้ว ท่านมุอาวิยะฮ จึงกล่าวว่า “ ท่านพูดถูกต้อง แล้ว - รายงาน โดย มุสลิม ,อะหมัด และคนอื่นอื่นๆ
...............
ข้างต้นคือ ตัวอย่างของการละทิ้งปฏิบัติ เนื่องจาก ตามแบบอย่างของรอซูล ในสิ่งที่ท่านไม่ปฏิบัติ เพราะฉะนั้น การอ้างว่า ไม่มีหลักฐานห้าม ทำได้ มันเป็นการใช้ความเห็นมากำหนดหลักการศาสนา
แปลก.....คนยุคนี้อุตริบิดอะฮ โดยอ้างว่าดี แล้วหาข้ออ้างว่า นบีไม่ทำก็ทำได้ จึงถาม Amaluddeen Abdulqodir ว่าแล้วใครรับรอง

والله أعلم بالصواب

อะสัน หมัดอะดั้ม

วาญิบต้องสังกัดมัซฮับจริงหรือ



คำว่าวาญิบ นิยามในทางฟิกฮคือ

فالواجب ما يثاب على فعله ويعاقب على تركه

วาญิบ คือ สิ่งที่ถูกตอบแทนผลบุญแก่ผู้ที่กระทำมัน และถูกให้ได้รับการลงโทษแก่ผู้ที่ละทิ้ง - ดู อัลมุสตัสฟาอฺ มิน อิลมิลอุศูล ของอัลเฆาะซาลี 1/82

จึงถามว่า
1.มีศาสนบัญญัติบทใดที่บังคับให้สังกัดมัซฮับ
2.มีศาสนบัญญัติบทใดที่บอกว่าคนไม่ได้อยูในระดับมุจญตะฮิดมุฏลักต้องสังกัดมัซฮับ
3. มีศาสนบัญญัติบทใด ที่กำหนดให้ผู้ที่อยู่ในระดับมุจญตะฮิดมุฏลักไม่ต้องสังกัดมัซฮับ
4. มีปราชญที่อยู่ในระดับมุจญตะฮิดท่านใดบอกว่า มุสลิมต้องสังกัดมัซฮับ

ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ)กล่าวว่า

أما البخاري ؛ وأبو داود فإمامان في الفقه من أهل الاجتهاد . وأما مسلم ؛ والترمذي ؛ والنسائي ؛ وابن ماجه ؛ وابن خزيمة ؛ وأبو يعلى ؛ والبزار ؛ ونحوهم ؛ فهم على مذهب أهل الحديث ليسوا مقلدين لواحد بعينه من العلماء

สำหรับ บุคอรี ,อบูดาวูด อิหม่ามทั้งสอง ในเรื่องฟิกฮ เป็นส่วนหนึ่งจากนักอิจญติฮาด ,สำหรับ มุสลิม , อัตติรมิซีย์ ,อันนะสาอีย์ ,อิบนุมาญะฮ ,อิบนุคุซัยมะฮ ,อบูยะอลา ,อัลบัซซาร และผู้ที่เหมือนกับพวกเขา พวกเขาอยู่บนมัซฮับ นักหะดิษ พวกเขาไม่ได้ตักลิด(ตาม)บรรดาอุลามาอฺคนหนึ่งคนใดเป็นการเฉพาะ - ดูมัจญมัวะฟาตาวา 20/40

มีรายงานเกี่ยวกับคำพูดอิมามชาฟิอีย์ว่า

أَخْبَرَنَا أَبُو عَبْدِ اللَّهِ الْحَافِظُ ، وَأَبُو سَعِيدِ بْنُ أَبِي عَمْرٍو ، قَالا : ثنا أَبُو الْعَبَّاسِ مُحَمَّدُ بْنُ يَعْقُوبَ ، قَالَ : سَمِعْتُ الرَّبِيعَ بْنَ سُلَيْمَانَ ، يَقُولُ : سَمِعْتُ الشَّافِعِيَّ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ ، يَقُولُ : " إِذَا وَجَدْتُمْ فِي كِتَابِي خِلافَ سَنَةِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ , فَقُولُوا بِسُنَّةِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَدَعُوا مَا قُلْتُ

คำแปลตัวบท

ความว่า "เมื่อพวกท่านพบในตำราของฉันแตกต่างกับสุนนะฮฺของท่านรสูลุลลอฮฺ ดังนั้นพวกท่านจงปฏิบัติตาม สุนนะฮฺของรสูลุลลอฮฺเถิด และจงทิ้งสิ่งที่ฉันพูด-- มะริฟะฮ สุนันวัลอะษาร ของ อัลบัยหะกีย หะดิษ หมายเลข ๑๐๙

.....
เคยได้ยิน ได้เห็นบางคนมโน อ้างไปว่า ข้างต้น ใช้สำหรับคนระดับมุจญตะฮีด จึงถามว่า มีตรงใหน ที่อิหม่ามชาฟิอีบอกว่า คำพูดของท่านใช้กับคนระดับมุจญตะฮีด

อัสสัยยิดสาบิก(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า

وبالتقليد والتعصب للمذاهب فقدت الأمة الهداية بالكتاب والسنة، وحدث القول بانسداد باب الاجتهاد، وصارت الشريعة هي أقوال الفقهاء، وأقوال الفقهاء هي الشريعة، واعتُبر كل من يخرج عن أقوال الفقهاء مبتدعاً لا يوثق بأقواله، ولا يُعتد بفتاويه.

การเลียนแบบและการทิฐิ(ยึดติดโดยไม่ยอมเปลี่ยนแปลง) ต่อมัซฮับต่างๆ ทำให้อุมมะฮอิสลาม ไม่ได้รับทางนำ แห่งอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ จนถึงกับมีทัศนะให้ปิดประตูอิจญติฮาด จนเป็นเหตุให้บทบัญญัติศาสนาขึ้นอยู่กับบรรดาคำพูดของนักนิติศาสตร์อิสลาม(ฟุเกาะฮาอฺ) และบรรดาคำพูดของฟุเกาะฮาอฺ คือ ศาสนบัญญัติ และถือว่า ทุกคนที่ออกจากบรรดาคำพูดของบรรดาฟุเกาะฮาอฺ เป็นผู้อุตริบิดอะฮ และ คำพูดของบุคคล(ที่ไม่ยึดติดกับฟุเกาะฮฮาอฺ)จะไม่ได้รับการเชื่อถือ และฟัตวาของเขาจะไม่ได้รับการยอมรับ.....- ฟิกฮอัสสุนนะฮ เล่ม ๑ หน้า ๑๐
..........
ปัจจุบัน พิสูจน์ได้ว่า เป็นจริงตามที่ท่านสัยยิด สาบิก กล่าวไว้ คือ ใครไม่สังกัดมัซฮับ จะถูกต่อต้านและถูกตั้งฉายาด้วยฉายาต่างๆ และจะไม่ถูกยอมรับแม้สิ่งที่เขานำมานั้น คือ อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮที่ถูกต้องก็ตาม

อิบนุกอ็ยยิม ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน ได้ตอบไว้

وَهَلْ يَلْزَمُ الْعَامِّيَّ أَنْ يَتَمَذْهَبَ بِبَعْضِ الْمَذَاهِبِ الْمَعْرُوفَةِ أَمْ لَا ؟ فِيهِ مَذْهَبَانِ : [ هَلْ عَلَى الْعَامِّيِّ أَنْ يَتَمَذْهَبَ بِمَذْهَبٍ وَاحِدٍ مِنْ الْأَرْبَعَةِ أَوْ غَيْرِهِمْ ؟ ] أَحَدُهُمَا : لَا يَلْزَمُهُ ، وَهُوَ الصَّوَابُ الْمَقْطُوعُ بِهِ ; إذْ لَا وَاجِبَ إلَّا مَا أَوْجَبَهُ اللَّهُ وَرَسُولُهُ ، وَلَمْ يُوجِبْ اللَّهُ وَلَا رَسُولُهُ عَلَى أَحَدٍ مِنْ النَّاسِ أَنْ يَتَمَذْهَبَ بِمَذْهَبِ رَجُلٍ مِنْ الْأُمَّةِ فَيُقَلِّدَهُ دِينَهُ دُونَ غَيْرِهِ

และคนทั่วไป(คนอาวาม) จำเป็นจะต้อง สังกัดมัซฮับ ด้วยส่วนหนึ่งของบรรดามัซฮับที่เป็นที่รู้จักหรือไม่...
ในประเด็นนี้ มี 2 ทัศนะด้วยกัน ( จำเป็นแก่คนทั่วไป(คนอาวาม)ต้องสังกัดมัซฮับคนหนึ่งคนใดจากบุคคลทั้งสี่ หรืออื่นจากพวกเขาหรือไม่
ทัศนะที่หนึ่ง : ไม่จำเป็นแก่เขา (ว่าต้องสังกัดมัซฮับ) และมันคือ ทัศนะที่ถูกต้อง ที่เป็นข้อยุติด้วยมัน
เพราะ ไม่เป็นที่วาญิบ (เหนือผู้ใด)นอกจากสิ่งที่อัลลอฮและรอซูลของพระองค์ได้กำหนดให้เป็นวาญิบมันเท่านั้น ,อัลลอฮและรอซูลของพระองค์ ไม่ได้กำหนดให้เป็นวาญิบ(ข้อบังคับ) แก่มนุษย์คนหนึ่งคนใด สังกัดมัซฮับ ด้วยมัซฮับของคนๆหนึ่ง จากอุมมะฮแล้วเชื่อตามศาสนาของเขา ต่อเขาผู้นั้น โดยไม่เชื่อตามคนอื่นๆจากเขา(หมายถึงอื่นจากผู้ที่เขาสังกัด) – ดูเอียะลามอัลมุวักกิอีน เล่ม 4 หน้า 202
อิบนุกอ็ยยิม ได้ยืนยันว่า อัลลอฮและรซูลลุลฮ ศอ็ลฯ ไม่ได้กำหนดให้บุคคลใดสังกัดมัซฮับแบบผูกขาด โดยที่จะตามมัซฮับอื่นจากมัซฮับตัวเองไม่ได้
และท่านอิบนุกอ็ยยิมได้กล่าวอีกว่า

وَلَا يَلْزَمُ أَحَدًا قَطُّ أَنْ يَتَمَذْهَبَ بِمَذْهَبِ رَجُلٍ مِنْ الْأُمَّةِ بِحَيْثُ يَأْخُذُ أَقْوَالَهُ كُلَّهَا وَيَدْعُ أَقْوَالَ غَيْرِهِ .

وَهَذِهِ بِدْعَةٌ قَبِيحَةٌ حَدَثَتْ فِي الْأُمَّةِ ، لَمْ يَقُلْ بِهَا أَحَدٌ مِنْ أَئِمَّةِ الْإِسْلَامِ

และ ไม่จำเป็นแก่คนหนึ่งคนใด เลย ต่อการที่เขาสังจะสังกัดมัซฮับ ของคนหนึ่งคนใดจากอุมมะฮ โดยที่เขายึดถือ บรรดาคำพูดของเขาผู้นั้น ทั้งหมด และทิ้งบรรดาคำพูดของคนอื่นๆจากผู้ที่เขาสังกัด และนี้คือ บิดอะฮที่น่าเกลียด ที่เกิดขึ้นใหม่ในอุมมะฮนี้ ,ไม่มีคนหนึ่งคนใดจากบรรดานักปราชญ์ระดับอิหม่ามแห่งอิสลาม เคยกล่าวด้วยมัน –จากตำราที่อ้างแล้ว
......
อิบนุก็อยยิมกล่าวว่า การผูกขาดมัซฮับเป็นการเฉพาะโดยไม่ยอมรับคำพูดของนักวิชาการมัซฮับอื่นนั้น
เป็นบิดอะฮที่น่าเกลียด และบรรดาปราชญ์ระดับอิหม่ามแห่งอิสลาม ไม่ได้พูดว่า วาญิบต้องสังกัดมัซฮับ

والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

อีมามสี่มัซฮับกับอะกีดะฮฺด้าน อัสมาอ์วัศศิฟาต (อิหม่ามอะบูหะนีฟะฮฺ)


อีมามสี่มัซฮับกับอะกีดะฮฺด้าน อัสมาอ์วัศศิฟาต (อิหม่ามอะบูหะนีฟะฮฺ)
หนังสือเล่มเล็กๆนี้เป็นส่วนหนึ่งที่คัดลอกมาจากหนังสือ อิอฺติกอด อะอิมมะฮฺ อัล-อัรบะอะฮฺ อะบีหะนีฟะฮฺ วะมาลิก วะอัช-ชาฟิอีย์ วะอะหฺมัด เรียบเรียงโดยเชค มุหัมมัด บิน อับดุรเราะหฺมาน อัล-คุมัยยิส อาจารย์ภาควิชาอะกีดะฮฺ มหาวิทยาลัย อิหม่าม มุหัมมัด บินสุอูด อัล-อิสลามียะฮฺ กรุงริยาฎ ซาอุดิอาระเบีย เป็นหนังสือที่รวบรวมคำกล่าวบางส่วนที่รายงานจากอิหม่ามผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ ได้แก่:
1.อิหม่าม อะบูหะนีฟะฮฺ นุอฺมาน บิน ษาบิต เกิดปีที่ 80 เสียชีวิตปีที่ 150 ฮิจญฺเราะฮฺศักราช เจ้าของมัซฮับ หะนาฟีย์
2. อิหม่าม มาลิก บิน อะนัส บิน อามิร อัลอัศบะฮีย์ อิหม่ามดารุลฮิจญ์เราะฮฺ  เกิดปีที่ 93 เสียชีวิตปีที่ 179 ฮิจญ์เราะฮฺศักราช เจ้าของมัซฮับ มาลิกีย์
3. อิหม่าม มุฮัมมัด บิน อิดรีส อัช-ชาฟิอีย์ อัลกุเราะชีย์ เกิดปีที่ 150 เสียชีวิตปีที่ 204 ฮิจญ์เราะฮฺศักราช เจ้าของมัซฮับ ชาฟิอีย์
4. อิหม่าม อะบูอับดิลลาฮฺ อะหฺมัด บิน มุฮัมมัด บิน หัมบัล อัช-ชัยบานีย์ อิหม่ามอะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ เกิดปีที่ 164 เสียชีวิตปีที่ 241 ฮิจญฺเราะฮฺศักราช เจ้าของมัซฮับ หัมบะลีย์
     และหนังสือเล่มนี้จะเป็นการชี้แจงถึงหลักอะกีดะฮฺของอิหม่ามทั้งสี่ท่านว่าเป็น อะกีดะฮฺ อัส-สะลัฟ อัศ-ศอลิหฺ ในประเด็นอัล-อัสมาอ์ วัศ-ศิฟาต เป็นการยืนยันพระนามและคุณลักษณะของพระองค์อัลลอฮฺ โดยปราศจากการเปรียบเทียบกับมัคลูก การตีความ เบี่ยงเบียนความหมาย และปฏิเสธคุณลักษณะตามความเชื่อของกลุ่มหลงผิดต่างๆที่แอบอ้างว่าแนวทางของพวกเขาเป็นแนวทางของอิหม่ามทั้งสี่ทั้งในประเด็นอะกีดะฮฺและนิติศาสตร์อัล-อิสลาม เช่นพวกอะชาอิเราะฮฺ พวกมาตุรีกียะฮฺ พวกศูฟีย์ และพวกนักวิพากษ์วิทยาทั้งหลาย ที่ปรากฏพบเห็นในสังคมของเรา.
ขอพระองค์อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงทำให้พวกเราอยู่บนแนวทางที่ถูกต้องตามแนวทางของอิหม่ามทั้งสี่ และโปรดทำให้หนังสือเล่มนี้มีประโยชน์แก่พี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย

وصلى الله على نبينا محمد وعلى آله وأصحابه
ومن تبعهم بإحسان  إلى يوم الدين

อับดุลอะซีซ สุนธารักษ์
15/04/1435
อัล-มะดีนะฮฺ อัล-มุเนาวะเราะฮฺ

หลักศรัทธาของอิหม่ามอะบูหะนีฟะฮฺ เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ ในประเด็น พระนามและคุณลักษณะของอัลลอฮฺตะอาลา

1.قال الإمام أبو حنيفة رحمه الله: لا يوصف الله تعالى بصفات المخلوقين وغضبه ورضاه صفتان من صفاته بلا كيف وهو قول أهل السنة والجماعة وهو يغضب ويرضى ولا يقال: غضبه عقوبته ورضاه ثوابه. ونصفه كما وصف نفسه أحد صمد لم يلد ولم يولد ولم يكن له كفواً أحد حي قادر سميع بصير عالم يد الله فوق أيديهم ليست كأيدي خلقه ووجهه ليس كوجوه خلقه. (الفقه الأبسط ص56).

1. ท่านอิหม่ามอะบูหะนีฟะฮฺ เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ กล่าวว่า: พระองค์อัลลอฮฺจะไม่ถูกพรรณนาด้วยคุณลักษณะของสิ่งถูกสร้าง การโกรธและการพอพระทัยของพระองค์ คือสองคุณลักษณะจากคุณลักษณะต่างๆของพระองค์โดยไม่มีการพรรณนาว่ามีลักษณะเช่นใด และนี่คือทัศนะของชาวอะฮ์ลิสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ พระองค์อัลลอฮฺจะทรงโกรธและทรงพอพระทัย และจะไม่จำเป็นต้องตีความว่า การโกรธของพระองค์หมายถึง การลงโทษของพระองค์ และการพอพระทัยของพระองค์หมายถึง การตอบแทนของพระองค์ และเราจะพรรณนาคุณลักษณะของพระองค์เหมือนดังที่พระองค์ได้ทรงพรรณนาคุณลักษณะของพระองค์เอง พระองค์คือผู้ทรงเอกะ ทรงเป็นที่พึ่ง ไม่ทรงให้กำเนิดและไม่ทรงถูกให้กำเนิด และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์ พระผู้ทรงมีชีวิต ทรงมีพลานุภาพ ทรงได้ยิน ทรงเห็น และทรงรอบรู้ พระหัตถ์ของพระองค์อยู่เหนือมือของพวกเขา และไม่เหมือนกับมือของสิ่งถูกสร้าง และพระพักตร์ของพระองค์ก็ไม่เหมือนกับใบหน้าของสิ่งถูกสร้างแต่อย่างใด  (หนังสือ อัล-ฟิกฮฺ อัล-อับศ็อฏ หน้าที่ 56 )

 2.قال : وله يد ووجه ونفس كما ذكره الله تعالى في القرآن فما ذكره الله تعالى في القرآن من ذكر الوجه واليد والنفس فهو له صفات بلا كيف ولا يقال: إن يده قدرته أو نعمته لأن فيه إبطالَ الصفة وهو قول أهل القدر والاعتزال…  (الفقه الأكبر ص 302 )

2. อิหม่ามอะบูหะนีฟะฮฺ เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ กล่าวว่า: พระองค์อัลลอฮฺ ทรงมี พระหัตถ์ พระพักตร์ และตัวตน ดังเช่นที่พระองค์ได้ทรงกล่าวไว้ในอัล-กุรอ่าน ดังนั้นสิ่งใดก็ตามที่พระองค์ทรงกล่าวไว้ในอัล-กุรอ่าน ไม่ว่าพระพักตร์ พระหัตถ์ และตัวตน นั่นคือคุณลักษณะของพระองค์โดยไม่มีการพรรณนาว่าคุณลักษณะของพระองค์เป็นเช่นใด และจะไม่สามารถกล่าวได้ว่า พระหัตถ์ของพระองค์หมายถึงพลานุภาพ หรือ ความโปรดปราณของพระองค์ เพราะการให้ความหมายดังกล่าวเป็นการยกเลิกคุณลักษณะที่แท้จริงของพระองค์ ซึ่งเป็นทัศนะของพวกเกาะดะรียะฮฺและมุอฺตะซิละฮฺ (หนังสือ อัล-ฟิกฮฺ อัล-อักบัร หน้าที่ 302)

 3.قال الإمام أبو حنيفة: لا ينبغي لأحد أن ينطق في ذات الله بشيء بل يصفه بما وصف به نفسه ولا يقول فيه برأيه شيئاً تبارك الله تعالى ربّ العالمين. (شرح العقيدة الطحاوية ج2 ص427 تحقيق د. التركي وجلاء العينين ص368)

3. อิหม่ามอะบูหะนีฟะฮฺ เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ กล่าวว่า: ไม่เป็นการสมควรแก่ผู้ใดที่จะใช้สิ่งใดพรรณนาถึงซาตของอัลลอฮฺ แต่ทว่าเขาต้องพรรณนาคุณลักษณะของพระองค์ด้วยสิ่งที่พระองค์ใช้พรรณนาคุณลักษณะของตัวพระองค์ และไม่อนุญาตให้ใช้สติปัญญาพรรณนาคุณลักษณะใดๆของอัลลอฮฺ ผู้ทรงจำเริญ ผู้อภิบาลแห่งโลกทั้งผอง (หนังสือ ชัรห์ อัล-อะกีดะฮฺ อัฏ-เฏาะหาวียะฮฺ เล่ม 2 หน้าที่ 427 ฉบับตรวจสอบโดย ดร.อัต-ตุรกีย์ และหนังสือ ญะลาอฺ อัล-อัยนัยน์ หน้าที่ 368)

4.سئل الإمام أبو حنيفة عن النزول الإلهي فقال: ينزل بلا كيف.  (عقيدة السلف أصحاب الحديث ص42 الأسماء والصفات للبيهقي ص456  شرح الطحاوية ص245 شرح الفقه الأكبر للقاري ص60)
4. อิหม่ามอะบูหะนีฟะฮฺ เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ ถูกถามถึงประเด็นการนุซูล (เสด็จลงมา) ของพระองค์อัลลอฮฺ ท่านตอบว่า: “พระองค์ทรงเสด็จลงมาโดยไม่สามารถพรรณนาได้ว่าเป็นเช่นใด” (หนังสือ อะกีดะฮฺ อัส-สะลัฟ วะอัศหาบุลหะดีษ หน้าที่ 42 หนังสือ อัล-อัสมาอ์ วัศ-ศิฟาต ของอิหม่าม อัล-บัยฮะกีย์ หน้าที่ 456 หนังสือ ชัรห์ อัล-อะกีดะฮฺ อัฏ-เฏาะหาวียะฮฺ หน้าที่ 245 หนังสือ ชัรห์ อัล-ฟิกฮฺอัล-อักบัร ของ อัล-กอรีย์ หน้าที่ 60)

5.وقال  الإمام أبو حنيفة : والله تعالى يدعى من أعلى لا من أسفل  لأن الأسفل ليس من وصف الربوبية والألوهية في شيء. (الفقه الأبسط ص51 ).
5. อิหม่ามอะบูหะนีฟะฮฺ เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ กล่าวว่า: “พระองค์อัลลอฮฺ ตะอาลา จะถูกร้องขอจากทิศเบื้องบน มิใช่จากเบื้องล่าง เพราะเบื้องล่างไม่ใช่คุณลักษณะของความเป็นผู้อภิบาลและเป็นพระเจ้าแต่อย่างใด” (หนังสือ อัล-ฟิกฮฺ อัล-อับศ็อฏ หน้าที่ 51 )

6. وقال :  ولا يشبه شيئا من الاشياء من خلقه ولا يشبهه شيء من خلقه  لم يزل ولا يزال بأسمائه وصفاته (الفقه الأكبر ص 301 )
6. อิหม่ามอะบูหะนีฟะฮฺ เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ กล่าวว่า: “พระองค์ทรงไม่คล้ายสิ่งใดจากสิ่งถูกสร้างของพระองค์ และไม่มีสิ่งใดจากสิ่งถูกสร้างคล้ายพระองค์ พระองค์ยังคงดำรงซึ่งพระนามและคุณลักษณะต่างๆสืบไป” (หนังสือ อัล-ฟิกฮ์ อัล-อักบัร หน้าที่ 301)

7.وقال : وصفاته بخلاف صفات المخلوقين  يعلم لا كعلمنا  ويقدر لا كقدرتنا  ويرى لا كرؤيتنا  ويسمع لا كسمعنا  ويتكلم لا ككلامنا.  (الفقه الأكبر ص302)
7. อิหม่ามอะบูหะนีฟะฮฺ เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ กล่าวว่า: “คุณลักษณะต่างๆของพระองค์จะแตกต่างจากคุณลักษณะของสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย พระองค์ทรงรอบรู้ แต่ไม่เหมือนกับการรอบรู้ของเรา ทรงพลานุภาพ แต่ไม่เหมือนกับความสามารถของเรา ทรงเห็น แต่ไม่เหมือนกับการเห็นของเรา ทรงได้ยินแต่ไม่เหมือนกับการได้ยินของเรา และทรงดำรัสแต่ไม่เหมือนกับการพูดของเรา” (หนังสือ อัล-ฟิกฮฺ อัล-อัลอักบัร หน้า 302)

8.وقال : لا يوصف الله تعالى بصفات المخلوقين. (الفقه الأبسط ص56)
8. อิหม่ามอะบูหะนีฟะฮฺ เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ กล่าวว่า: “ไม่อนุญาตให้พรรณนาคุณลักษณะของอัลลอฮฺคุณลักษณะต่างๆของสิ่งถูกสร้าง” (หนังสือ อัล-ฟิกฮฺ อัล-อับศ็อฏ หน้า 56)

 9.وقال : من وصف الله بمعنى من معاني البشر  فقد كفر . ( العقيدة الطحاوية  بتعليق الألباني ص25)
9. อิหม่ามอะบูหะนีฟะฮฺ เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ กล่าวว่า: “ผู้ใดพรรณนาคุณลักษณะของอัลลอฮฺด้วยคุณลักษณะใดคุณลักษณะหนึ่งของมนุษย์ แท้จริงเขาได้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว” (อัล-อะกีดะฮฺ อัฏ-เฏาะหาวียะฮฺ ฉบับอธิบายโดย อัล-อัลบานีย์ หน้าที่ 25)

 10.وقال : وصفاته الذاتية والفعلية  أما الذاتية فالحياة والقدرة والعلم والكلام والسمع والبصر والإرادة  وأما الفعلية فالتخليق والترزيق والإنشاء والإبداع والصنع وغير ذلك من صفات الفعل  لم يزل ولا يزال بأسمائه وصفاته. ( الفقه الأكبر ص310)
10. อิหม่ามอะบูหะนีฟะฮฺ เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ กล่าวว่า: “คุณลักษณะของอัลลอฮฺประกอบด้วยคุณลักษณะด้านตัวตน (ศิฟาตซาตียะฮฺ) และด้านการกระทำ (ศิฟาตฟิอฺลียะฮฺ), คุณลักษณะด้านตัวตนได้แก่ การมีชีวิต ความสามารถ การรอบรู้ การพูด การได้ยิน การเห็น และการต้องการ ส่วนคุณลักษณะด้านการกระทำ เช่น การสร้าง การประทานริซกีย์ การประดิษฐ์ การสร้างสรรค์ การผลิต และคุณลักษณะด้านการกระทำอื่นๆ พระองค์ยังคงดำรงซึ่งพระนามและคุณลักษณะต่างๆสืบไป” (หนังสือ อัล-ฟิกฮฺ อัล-อักบัร หน้าที่ 310)

11. وقال : ولم يزل فاعلا بفعله  والفعل صفة في الأزل والفاعل هو الله تعالى  والفعل صفة في الأزل والمفعول مخلوق  وفعل الله تعالى غير مخلوق. ( الفقه الأكبر ص301)
11. อิหม่ามอะบูหะนีฟะฮฺ เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ กล่าวว่า: “พระองค์ยังคงเป็นผู้กระทำด้วยการกระทำของพระองค์ และการกระทำนั้นคือคุณลักษณะดั้งเดิม ส่วนผู้กระทำคืออัลลอฮฺ และการกระทำคือคุณลักษณะดั้งเดิม และสิ่งที่ถูกกระทำคือมัคลูค และการกระทำของอัลลอฮฺตะอาลามิใช่มัคลูก”  (หนังสือ อัล-ฟิกฮฺ อัล-อักบัร หน้าที่ 301)

12. وقال : من قال لا أعرف ربي في السماء أم في الأرض فقد كفر وكذا من قال إنه على العرش ولا أدري العرش أفي السماء أم في الأرض. (الفقه الأبسط ص46 مجموع الفتاوي ص5/48 واجتماع الجيوش الإسلامية ص 139 والعلو للذهبي ص101-102 وابن قدامة في العلو ص116 وفي شرح الطحاوية لابن أبي العز ص301 )
12. อิหม่ามอะบูหะนีฟะฮฺ เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ กล่าวว่า: “ผู้ใดกล่าวว่า ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้าของฉันอยู่เหนือฟากฟ้าหรือบนดิน แท้จริงเขาได้ปฏิเสธแล้ว เช่นกัน ผู้ใดกล่าวว่า พระองค์อยู่เหนืออะรัชแต่ฉันไม่รู้ว่าอะรัชนั้นอยู่บนฟ้า หรือบนดิน (เขาได้ปฏิเสธแล้วเช่นกัน)” (หนังสือ อัล-ฟิกฮฺ อัล-อับศ็อฏ หน้าที่ 46 , มัจมูอุลฟะตาวา เล่ม 5 หน้าที่ 48 , อิจมาอุลญุช อัล-อิสลามมียะฮฺ หน้า 139 ,อัลอุลูว์ ของอัซซะฮะบีย์ หน้า 101-102 ,อัลอุลูว์ของอิบนิกุดามะฮฺ หน้า 116 , ชัรห์ อัล-อะกีดะฮฺ อัฏเฏาะหาวียะฮฺ ของ อิบนุอบิลอิซ หน้าที่ 301)

13.وقال للمرأة التي سألته: أين إلهك الذي تعبده  قال : إن الله سبحانه وتعالى في السماء دون الأرض فقال له رجل : أرأيت قول الله تعالى : ﴿وَهُوَ مَعَكُمۡ أَيۡنَ مَا كُنتُمۡۚ  ﴾ [الحديد: ٤]   قال : هو كما تكتب للرجل إني معك وأنت غائب عنه. (الأسماء والصفات ص429  )
13. อิหม่ามอะบูหะนีฟะฮฺ เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ กล่าวแก่สัตรีนางหนึ่งที่ถามท่านว่า: “พระเจ้าของท่านผู้ที่ท่านบูชาอยู่ไหน?” ท่านตอบว่า: “แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺทรงอยู่เหนือชั้นฟ้ามิใช่บนแผ่นดิน” ก็มีชายคนหนึ่งพูดขึ้น : “ท่านไม่เห็นดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า: ((และพระองค์ทรงอยู่กับพวกเจ้าไม่ว่าพวกเจ้าจอยู่ที่ไหนก็ตาม)) กระนั้นหรือ?” ท่านจึงตอบว่า: “มันก็เหมือนกับที่ท่านเขียนถึงคนๆหนึ่งว่า แท้จริงฉันอยู่กับเจ้า ในขณะที่ท่านไม่ได้อยู่ต่อหน้าผู้นั้น” (หนังสือ อัล-อัสมาอ์ วัศ-ศิฟาต หน้าที่ 429)

14.وقال : يد الله فوق أيديهم  ليست كأيدي خلقه.  (الفقه الأبسط ص56  )
14.อิหม่ามอะบูหะนีฟะฮฺ เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ กล่าวว่า: “พระหัตถ์ของอัลลอฮฺ อยู่เหนือมือของพวกเขา และพระหัตถ์ของพระองค์ไม่เหมือนกับบรรดามือของสิ่งถูกสร้างของพระองค์” (หนังสือ อัล-ฟิกฮฺ อัล-อับศ็อฏ หน้าที่ 56)
15.وقال: ومتكلما بكلامه والكلام صفة في الأزل. ( الفقه الأكبر ص301  )
15.อิหม่ามอะบูหะนีฟะฮฺ เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ กล่าวว่า: “และพระองค์เป็นผู้ดำรัสด้วยดำรัสของพระองค์ และการดำรัสนั้น เป็นคุณลักษณะแต่ดั้งเดิม” (หนังสือ อัล-ฟิกฮฺ อัล-อักบัร หน้าที่ 301)

 16. وقال : ويتكلم  لا ككلامنا . ( الفقه الأكبر ص302 )
16. อิหม่ามอะบูหะนีฟะฮฺ เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ กล่าวว่า: “และพระองค์ทรงดำรัสที่ไม่เหมือนกับการพูดของพวกเรา” (หนังสือ อัล-ฟิกฮฺ อัล-อักบัร หน้าที่ 302)

 17.وقال: وسمع موسى عليه السلام كلام الله تعالى كما قال الله تعالى : ﴿وَكَلَّمَ ٱللَّهُ مُوسَىٰ تَكۡلِيمٗا ١٦٤ ﴾ [النساء : ١٦٤]   (الفقه الأكبر ص302 )
17. อิหม่ามอะบูหะนีฟะฮฺ เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ กล่าวว่า: “และมูซา อะลัยฮิสลาม ได้ยินคำดำรัสของอัลลอฮฺ ดังที่พระองค์ได้ดำรัสว่า: ((และอัลลอฮฺได้ทรงดำรัสกับมุซาจริงๆ))” (สูเราะฮฺ อัน-นิสาอ์ อายะฮฺที่ 164) (หนังสือ อัล-ฟิกฮฺ อัล-อักบัร หน้าที่ 302)

18.وقال : والقرآن كلام الله في المصاحف مكتوب  وفي القلوب محفوظ  وعلى الألسن مقروء  وعلى النبي صلى الله عليه وسلم أنزل. (الفقه الأكبر ص301 )
18. อิหม่ามอะบูหะนีฟะฮฺ เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ กล่าวว่า: “และอัลกุรอ่านคือดำรัสของพระองค์อัลลอฮฺ ทั้งที่ถูกบันทึกไว้ในคำภีร์ ถูกจดจำไว้ในจิตใจ ถูกอ่านบนปลายลิ้น และถูกประทานแก่ท่านนะบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม” (หนังสือ อัล-ฟิกฮฺ อัล-อักบัร หน้าที่ 301)

19. وقال : والقرآن غير مخلوق. (الفقه الأكبر ص301 )
19. อิหม่ามอะบูหะนีฟะฮฺ เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ กล่าวว่า: “และอัลกุรอ่านไม่ใช่มัคลูก” (หนังสือ อัล-ฟิกฮฺ อัล-อักบัร หน้าที่ 301)


......................................................
มุหัมมัด อับดุรเราะห์มาน อัล-คุมัยยิส
แปลโดย : อับดุลอาซีซ  สุนธารักษ์
ตรวจทานโดย : อุษมาน อิดรีส

วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

อะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮมีด้วยหรือที่ทำบิดอะฮ



อะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮมีด้วยหรือที่ทำบิดอะฮ

มันเป็นเรื่องแปลกในสังคมเรา มีหลายกลุ่ม หลายคณะ ปากบอกว่า "เป็นชาวอะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ"แต่เพียงเจ้าเดียว แต่พฤติกรรมกลับทำและส่งเสริมบิดอะฮ ที่เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคำว่า "อัสสุนนะฮ

อิหม่ามอะหมัด (ร.ฮ) กล่าวว่า

أُصُولُ السُّنَّةِ عِنْدَنَا : التَّمَسُّكُ بِمَا كَانَ عَلَيْهِ أَصْحَابُ رَسُولِ اللَّهِ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - وَالِاقْتِدَاءُ بِهِمْ ، وَتَرْكُ الْبِدَعِ ، وَكُلُّ بِدْعَةٍ فَهِيَ ضَلَالَةٌ.....

รากฐานอัสสุนนะฮ ในทัศนะของเราคือ การยึดมั่น ด้วยสิ่งที่บรรดาเศาะหาบะฮของรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ยืนหยัดอยู่บนมัน ปฏิบัติตามพวกเขา , ทิ้งบรรดาบิดอะฮ และทุกบิดอะฮ มันคือ การหลงผิด, ...................– ชัรหุอุศูลอัลเอียะติกอด อะฮลิสสุนนะฮ เล่ม 1 หน้า 156
....................

อิหม่ามอัลบัรบะฮารีย(ร.ฮ)ปราชญ์สะลัฟ กล่าวว่า

والسنة ما سنه رسول الله صلى الله عليه وسلم والجماعة ما اجتمع عليه أصحاب رسول الله صلى الله عليه وسلم في خلافة أبي بكر وعمر وعثمان

อัสสุนนะฮ คือ สิ่งที่รซูลลอฮ ศอ็ลฯได้กำหนดมันให้เป็นแบบอย่าง และอัลญะมาอะฮคือ สิ่งที่บรรดาสาวกของท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ในยุคเคาะลิฟะฮอบูบักรฺ,อุมัร และอุษมานได้รวมกันอยู่บนมัน - ชัรหุอัสสุนนะฮหน้า 45

อัลมะนาวีย์(ร.ฮ)ได้กล่าวว่า

قال أبو شامة: حيث جاء الأمر بلزوم الجماعة فالمراد به لزوم الحق وإتباعه وإن كان المتمسك به قليلا والمخالف كثيرا أي الحق هو ما كان عليه الصحابة الأول من الصحب ولا نظر لكثرة أهل الباطل بعدهم

อบูชามะฮ ได้กล่าวว่า โดยที่คำสั่งได้มีมาให้ยึดญะมาอะฮ หมายถึง ให้ยึดมั่น ในสัจธรรม และปฏิบัติตามมัน แม้ว่าผู้ที่ยึดถือมันมีจำนวนน้อย และผู้ที่ขัดแย้งมีจำนวนมากก็ตาม หมายถึงอัลหัก คือ สิ่งที่บรรดาเศาะหาบะฮยุคแรกดำเนินอยู่บนมัน และไม่มีการพิจารณา กับจำนวนมากของผู้ที่อยู่บนความเท็จยุคหลังจากพวกเขา - ฟัยดุลเกาะดัร 4/99
...............

สรุปว่า ชาวอะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮของแท้ ต้องไม่ทำและไม่ส่งเสริมบิดอะฮ และคำว่า หมู่คณะ(ญะมาอะฮ) คือ ผู้ที่ยึดมั่นในความจริง(อัลหัก) และปฏิบัติตาม แม้จะมีจำนวนน้อย และจำนวนมากที่อยู่บนความเท็จย่อมไม่ได้รับการพิจารณา เพราะฉะนั้น หยุดโอ้อวดว่าเป็นชนหมู่มากเถิด หากยังคงไม่ละทิ้งบิดอะฮและดำเนินอยู่บนความเท็จ

والله أعلم بالصواب

อะสัน หมัดอะดั้ม

การลูบและจูบกุโบร์ท่านนบีและวาลียุลลอฮ เป็นสุนนะฮจริงหรือ


การลูบและจูบกุโบร์ท่านนบีและวาลียุลลอฮ เป็นสุนนะฮจริงหรือ

มีคนพยายามอ้างว่า อิหม่ามอะหมัด (ร.ฮ )ว่า ท่านบอกว่าลูบและจูบกุโบร์นบีได้ ซึ่งผมได้ชี้ไปแล้วว่า เป็นรายงานแอบอ้างอิหม่ามอะหมัด แต่มีคนบอกว่า "ผมใส่ใกล้ผู้อื่น การชี้แจงตอบโต้หลักฐานเฎาะอีฟ เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน

عن صالح ابن الإمام أحمد قال : قال أبي : «ولا يمس الحائط ولا يُقَبِّلُهُ» يعني حائط القبر

รายงานจากศอลิห บุตร อิหม่ามอะหมัด กล่าวว่า บิดาของข้าพเจ้า กล่าวว่า " และเขาจะไม่ลูบกำแพง(กุโบร์นบี)และไม่จูบมัน -หมายถึงกำแพงกุโบร์
[ «مسائل الإمام أحمد رواية ابنه صالح» (3/60 رقم 1340) الدار العلمية الهند ط 1 1408ﻫ ]

อิหม่ามนะวาวีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า

لَا يَجُوزُ أَنْ يُطَافَ بِقَبْرِهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَيُكْرَهُ إلْصَاقُ الظُّهْرِ وَالْبَطْنِ بِجِدَارِ الْقَبْرِ ، قَالَهُ أَبُو عُبَيْدِ اللَّهِ الْحَلِيمِيُّ وَغَيْرُهُ ، قَالُوا : وَيُكْرَهُ مَسْحُهُ بِالْيَدِ وَتَقْبِيلُهُ ، بَلْ الْأَدَبُ أَنْ يَبْعُدَ مِنْهُ كَمَا يَبْعُدُ مِنْهُ لَوْ حَضَرَهُ فِي حَيَاتِهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ . هَذَا هُوَ الصَّوَابُ الَّذِي قَالَهُ الْعُلَمَاءُ وَأَطْبَقُوا عَلَيْهِ ، وَلَا يُغْتَرُّ بِمُخَالَفَةِ كَثِيرِينَ مِنْ الْعَوَامّ وَفِعْلِهِمْ ذَلِكَ ، فَإِنَّ الِاقْتِدَاءَ وَالْعَمَلَ إنَّمَا يَكُونُ بِالْأَحَادِيثِ الصَّحِيحَةِ وَأَقْوَالِ الْعُلَمَاءِ ، وَلَا يُلْتَفَتُ إلَى مُحْدَثَاتِ الْعَوَامّ وَغَيْرِهِمْ وَجَهَالَاتِهِمْ

ไม่อนุญาตให้ฏอวาฟ ที่กุโบร์นบี ศอ็ลฯ และมักรูฮ แนบหลังหรือท้องกับรั้วกุโบร์ ,อบูอุบัยดิลละฮ อัลหะลิมีย์และคนอื่นจากเขาได้กล่าวมันไว้ พวกเขากล่าวว่า " และมักรูฮ(น่ารังเกียจ) ลูบมันด้วยมือหรือจูบมัน (กุโบร์นบี) ยิ่งไปกว่านั้น มารยาท (ในการเยี่ยมกุโบรนบี)คือ ให้ห่างจากกุโบร์นบี ดังเช่นให้เขาห่างจากนบี เมื่อเขาอยู่ร่วมกับท่านในตอนที่ท่านนบี ศอ็ลฯ มีชีวิตอยู่ นี่คือ ที่ถูกต้อง ที่บรรดาอุลามาอฺได้กล่าวมัน และ พวกเขาได้เห็นฟ้องบนมัน และเขาอย่าได้หลงเชื่อ กับบรรดาผู้ที่ขัดแย้ง(ผู้ขัดแย้งกับความถูกต้อง)จำนวนมาก จากบรรดาคนอาวามและการปฏิบัติของพวกเขาดังกล่าวนั้น เพราะแท้จริง การตามและการปฏิบัตินั้น ความจริง มันปรากฏด้วยบรรดาหะดิษเศาะเฮียะ และบรรดาคำพูดของนักวิชาการ และอย่าไปสนใจ บรรดาสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ของคนอาวาม,คนอื่นจากพวกเขาและบรรดาผู้ที่โง่เขลาในหมู่พวกเขา - อัลมัจญมัวะ ชัรหอัลมุฮัซซับ 8/257

ชัยค์มุหัมหมัด ญะมาดุดดีนอัลกอสิมีย์ กล่าวว่า

وَلَيْسَ مِنَ السُّنَّةِ أَنْ يَمَسَّ الْجِدَارَ وَلَا أَنْ يُقَبِّلَهُ فَإِنَّ الْمَسَّ وَالتَّقْبِيلَ لِلْمَشَاهِدِ عَادَةُ النَّصَارَى وَالْيَهُودِ

การลูบรั้ว(กุโบร์นบี)และการจูบมัน ไม่ใช่ส่วนหนึ่งจากอัสสุนนะฮ แท้จริงการลูบและจูบสุสานนั้น คือประเพณียะฮูดีและนะศอรอ -
เมาอิเซาะติลมุมินีน มิน เอียะยาอฺอุลูมิดดีน 1/72เรื่อง الْجُمْلَةُ الْعَاشِرَةُ فِي زِيَارَةِ الْمَدِينَةِ وَآدَابِهَا

..............

สรุปการลูบและจูบกุโบร์นบี ศอ็ลฯและบรรดาโต๊ะวาลีเพื่อเอาบะเราะกัตนั้นไม่ใช่สุนนะฮ แต่เป็นอุตริกรรมของบรรดาพวกที่โง่เขลา

والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

จูบและลูบกุโบร์โต๊ะวาลีเพื่อเอาบะเราะกัต เป็นสุนนะฮของใครหรือ


จูบและลูบกุโบร์โต๊ะวาลีเพื่อเอาบะเราะกัต เป็นสุนนะฮของใครหรือ

อิหม่ามเฆาะซาลีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า

وليس من السنة أن يمس الجدار ولا أن يقبله بل الوقوف من بعد أقرب للاحترام.

และการที่เขาลูบรั้วกั้น(กุโบร์นบี)และการที่เขาจูบมันไม่ใช่ส่วนหนึ่งจากอัสสุนนะฮ แต่ทว่าให้เขายืนห่างๆ ย่อมเป็นการใกล้ชิดสำหรับการให้เกียรติ(ท่านนบี) -เอียะยาอุลูมินดีน 1/259

(ดูสำเนาหนังสือ อัลเมาสูอะฮอัลฟิกฮียะฮ 43/312 )

والله أعلم بالصواب

อะสัน หมัดอะดั้ม

การลูบและจูบกุโบร์นั้นเป็นบิดอะฮและเป็นประเพณีของคริสต์


การลูบและจูบกุโบร์นั้นเป็นบิดอะฮและเป็นประเพณีของคริสต์

وَقَالَ الْإِمَامُ أَبُو الْحَسَنِ مُحَمَّدُ بْنُ مَرْزُوقٍ الزَّعْفَرَانِيُّ (ت 517 هـ):... وَلَا يَسْتَلِمُ الْقَبْرَ بِيَدِهِ وَلَا يُقَبِّلُهُ، قَالَ: وَعَلَى هَذَا مَضَتْ السُّنَّةُ. قَالَ أَبُو الْحَسَنِ: وَاسْتِلَامُ الْقُبُورِ وَتَقْبِيلُهَا الَّذِي يَفْعَلُهُ الْعَوَامُّ الْآنَ مِنْ الْمُبْتَدَعَاتِ الْمُنْكَرَةِ شَرْعًا يَنْبَغِي تَجَنُّبُ فِعْلِهِ وَيُنْهَى فَاعِلُهُ (المجموع شرح المهذب 5/ 311)
อิหม่ามอบู อัลหะสัน มุฮัมมัด บิน มัรซูก อัซซะอฺฟะรอนีย์ กล่าวว่า "และไม่มีการจับหรือลูบกุโบร์ด้วยมือ และไม่มีการจูบมัน" ท่านกล่าวว่า "และสุนนะฮฺได้ดำเนินมาบนการปฏิบัติดังกล่าว" ท่านกล่าวว่า "การจับลูกกุโบร์และจูบมันตามที่ชาวบ้านหรือบุคคลทั่วไปกระทำในปัจจุบันเป็นอุตริกรรมที่น่ารังเกียจหรือแถูกปฏิเสธด้านหลักชะรีอะฮฺประเภทหนึ่ง ซึ่งควรหลีกเลี่ยงการกระทำดังกล่าวและห้ามปรามผู้กระทำ (อัลมัจญ์มูอฺ 5/311)
เครดิต อาจารย์.Ibn Idris Al Yusof
๒๙/๖/๕๙ุ

หัมหมัด ญามาลุดดีน อัลกอสิมีย์ กล่าวว่า

وَالْمُسْتَحَبُّ فِي زِيَارَةِ الْقُبُورِ أَنْ يَقِفَ مُسْتَدْبِرَ الْقِبْلَةِ مُسْتَقْبَلًا لِوَجْهِ الْمَيِّتِ ، وَأَنْ يُسَلِّمَ وَلَا يَمْسَحَ الْقَبْرَ وَلَا يَمَسَّهُ وَلَا يُقَبِّلَهُ ، فَإِنَّ ذَلِكَ مِنْ عَادَةِ النَّصَارَى

และชอบ(สุนัต)ในการเยี่ยมกุโบร์ ให้เขายืนหันหลังให้กิบลัตและหันหน้าไปทางหน้าของมัยยิต ,ให้เขากล่าวสะลาม ,เขาจะไม่ลูบ ,ไม่สัมผัส และไม่จูบมัน เพราะแท้จริง ดังกล่าวนั้น คือ ประเพณีคริสเตียน - เมาอิเซาะตุลมุมินีน อัน เอียะยาอุลูมิดดีน หน้า ๓๒๔ เรื่อง بَيَانُ سَكْرَةِ الْمَوْتِ وَالِاعْتِبَارُ بِالْجَنَائِزِ وَزِيَارَةِ الْقُبُورِ
..................
การลูบ และจูบกุโบร์นั้น เป็นประเพณีคริสเตียน(นะศอรอ) แต่มีคนบางกลุ่มที่อ้างว่า เป็นชาวอะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮของแท้ ส่งเสริมให้ทำ
.....................
การจูบหรือลูบกุโบร์ นบี ศอ็ลฯ และบรรดาคนศอลิห ที่คนอาวามปฏิบัติกัน นั้นคือ บิดอะฮที่ถูกปฏิเสธในทางศาสนา ระบุในตำรา มัซฮับชาฟิอี ไม่มีการใส่ใคล้ผู้ใด (ดูสำเนาหนังสืออัลมัจญมัวะ ชัรหอัลมุฮัซซับ ของอิหม่ามนะวาวีย์ที่แนบมา
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

ใครคือทายาทนบี


ใครคือทายาทนบี

คำว่า "อุลามาอฺ (علماء) เป็นพหุพจน์ของคำว่า "อาลิม(عالمْ) แปล ว่า ผู้มีความรู้ ในศาสนาอิสลาม เป็นที่รู้กันว่า เมื่อพูดถึงคำว่า "อุลามาอ" มุสลิมทั้งหลาย ก็จะรู้ว่าหมายถึง ปราชญ์ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาศาสนาอิสลาม

บรรดาผู้รู้ หรือปราชญที่เรียกว่า ทายาทนบี คือ ปราชญที่รับสุนนะฮนบีศอ็ลฯ มาเผยแพร่ ไม่ใช่ปราชญ์ที่เผยแพร่บิดอะฮ

قَالَ أَبُو حَاتِمٍ رَضِيَ الِلَّهِ عَنْهُ : فِي هَذَا الْحَدِيثِ بَيَانٌ وَاضِحٌ أَنَّ الْعُلَمَاءَ الَّذِينَ لَهُمُ الْفَضْلُ الَّذِي ذَكَرْنَا ، هُمُ الَّذِينَ يُعَلِّمُونَ عِلْمَ النَّبِيِّ صَلَّى الِلَّهِ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، دُونَ غَيْرِهِ مِنْ سَائِرِ الْعُلُومِ ، أَلا تَرَاهُ يَقُولُ : " الْعُلَمَاءُ وَرَثَةُ الأَنْبِيَاءِ " وَالأَنْبِيَاءُ لَمْ يُوَرِّثُوا إِلا الْعِلْمَ ، وَعِلْمُ نَبِيِّنَا صَلَّى الِلَّهِ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ سُنَّتُهُ ، فَمَنْ تَعَرَّى عَنْ مَعْرِفَتِهَا لَمْ يَكُنْ مِنْ وَرَثَةِ الأَنْبِيَاءِ .

อบูหาติม บิน หิบบาน (ร.ฎ)กล่าวว่า ในหะดิษนี้ คือการอธิบายอย่างชัดเจนว่า บรรดาอุลามาอฺ ที่พวกเขาได้รับเกียรติ ที่เราได้กล่าวถึงพวกเขาคือ บรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามความรู้ของนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไม่ใช่บรรดาความรู้อื่นจากความรู้ท่านนบี ,ท่านไม่เห็นหรอกหรือว่า "ท่านนบีกล่าวว่า (แท้จริงบรรดาผู้รู้เป็นผู้สืบทอดมรดกจากบรรดานบี) และบบรรดานบีนั้น พวกเขาจะไม่มอบมรดก(แก่ผู้ใด) นอกจากความรู้ และความรู้ของนบีของเรานั้น คือ สุนนะฮของท่านนบี ดังนั้น ผู้ใดห่างใกลจากการรู้จักมัน(หมายถึงรู้จักสุนนะฮนบี) เขาก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งจาก ทายาทบรรดานบี - เศาะเฮียะอิบนุหิบบาน ๑/๒๘๙ กิตาบุลอิลมิ

จากคำอธิบายของอิบนุหิบบานข้างต้นสรุปว่า

๑.บรรดาอุลามาอฺหรือผู้รู้ที่ได้รับเกียรติให้เป็นทายาทบรรดานบีคือ บรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามความรู้ของท่านนบี
๒. ความรู้ของท่านนบี คือ สุนนะฮของท่านนบี
๓. บรรดาผู้รู้ที่ไม่รู้จักสุนนะฮนบี พวกเขาไม่ใช่ทายาทบรรดานบี

.............
ทายาทนบี คือ ผู้รู้สุนนะฮนบี ปฏิบัติตามสุนนะฮนบี และเผยแพร่สุนนะฮนบี ผู้รู้ส่งเสริมบิดอะฮ จะเรียกว่า ทายาทนบีได้อย่างไร

والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

คนที่ถูกอุปโลกน์ให้เป็นวะฮบีย์ทำลายอิสลามจริงหรือ


คนที่ถูกอุปโลกน์ให้เป็นวะฮบีย์ทำลายอิสลามจริงหรือ

Alasaeriyah Safien
เมื่อวานนี้ เวลา 19:23 น.
ญะฮูดีคนเขาทำลายอิสลามโดยใช้ทางอ่อม
แต่วะฮาบีลูกครึงเขา ทำลายแบบซอฮิลกว่า
วัลอีญาซุบีลาห์ ฮิมินซาลิก

.............................

ชี้แจง

หลักฐานไม่มีแม้แต่อักษรเดียว แล้วนั่งเทียนกล่าวหาพีน้องมุสลิมที่ตนมีอคติ อุตริให้เป็นวะฮบีย์ว่าทำลายอิสลาม ไม่กล้าแม้แต่แสดงตนว่าคือใคร เพื่อจะได้ใช้มุมมืดกล่าวหา ทำลาย ทำร้ายคนอื่นอย่างไรความรู้สึกรับผิดชอบชั่วดี

คนที่รณรงค์ เรียกร้อง ให้ยึดมันในเตาฮีด และยึดอะกีดะฮตามวิถีสะลัฟ คนที่ที่เรียกร้องให้มาปฏิบัติตามสุนนะฮ ดังการเรียกร้องของบรรพชนยุคสะลัฟ กลับกลายเป็นพวกทำลายอิสลาม ตามทัศนะชัยฏอน ไปเสียแล้วหรือนี่

ท่านนบี ศอ็ลฯ กล่าวว่า

فَإِنَّهُ مَنْ يَعِشْ مِنْكُمْ فَسَيَرَى اخْتِلَافًا كَثِيرًا ، فَعَلَيْكُمْ بِسُنَّتِي ، وَسُنَّةِ الْخُلَفَاءِ الرَّاشِدِينَ الْمَهْدِيِّينَ عَضُّوا عَلَيْهَا بِالنَّوَاجِذِ ، وَإِيَّاكُمْ وَمُحْدَثَاتِ الْأُمُورِ ، فَإِنَّ كُلَّ بِدْعَةٍ ضَلَالَةٌ " .

แท้จริง ผู้ใดจากพวกท่านมีชีวิตอยู่ เขาจะได้เห็นการขัดแย้งกันมากมาย ดังนั้น พวกท่านจงยึดถือแนวทางของฉันและแนวทางของบรรดาค่อลีฟะฮฺ ผู้ชี้นำทางที่ถูกต้อง ที่ได้รับทางนำหลังจากฉัน พวกท่านจงกัดมันไว้ด้วยฟันกราม และพวกท่าน พึงระวังบรรดาสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่(ในศาสนา) เพราะแท้จริงทุกๆบิดอะฮคือการหลงผิด -ดู อัลมุสตัดรอ็ก อะลัศเศาะฮีหัยนฺ ของอิหม่ามอัลหากิม 1/288 หะดิษหมายเลข 334

ท่านอัลเอาซาอีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า


عليك بآثار من سلف، وإن رفضك الناس، وإياك وآراء الرجال، وإن زخرفوه بالقول، فإن الأمر ينجلي، وأنت على طريق مستقيم

“ ท่านจงยึดตามร่องรอย(แบบอย่าง) ของคนยุคก่อน (หมายถึง ชาวสะลัฟ) และแม้ว่า ผู้คนปฏิเสธท่านก็ตาม และท่านพึงระวัง บรรดาความคิดเห็นของผู้คน แม้ว่าพวกเขาจะแต่งมันให้ดูสวยงามก็ตาม เพราะเรื่องนั้น (หมายถึงเรื่องความถูกต้อง) ต้องชัดเจน โดยที่ท่านต้องอยู่บนหนทางที่เที่ยงตรง – รายงานโดย อัลเคาะฏีบอัลบัฆดาดีย์ ใน ชัรฟุ อัศหาบิลหะดีษ หน้า 26 และ อัลอาญะรีย์ ฟิชชะรีอะฮ หน้า 58

......
คนที่พยายามเรียกร้องและปฏิบัติตามคำสอนท่านนบี ศอ็ลฯ ข้างต้นกลายเป็นคนทำลายอิสลาม กลายเป็นลูกครึ่งยิวอย่างนั้นหรือ-วัลอิยาซูบิลละฮ แล้วคนที่ส่งเสริมให้ทำชิริก และอนุรักษ์บิดอะฮเป็นอะฮลุสสุนนะฮของแท้อย่างนั้นหรือ มีปราชญสะลัฟท่านใดหรือ บอกว่าบิดอะฮในอิบาดะฮเป็นสิ่งที่ดี ขอให้ผู้ศึกษาคิดและพิจารณาเถิด

والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

เขาถามว่า "วะฮบีย์จัดงานมัสยิดบิดอะฮไหม?


เขาถามว่า "วะฮบีย์จัดงานมัสยิดบิดอะฮไหม?

มันเป็นคำถามที่เจอมาสดๆร้อน วะฮบีย์จัดงานมัสยิด แล้วนบีจัดงานมัสยิดไหม?

เป็นคำถามของกลุ่มคนที่มักจะถามว่า "ถ้าตามนบี ทำไมไม่ไปขี่อูฐ"

ขอชี้แจงว่า การจัดงานมัสยิด เป็นกิจกรรมทางสังคม เพื่อส่งเสริมสิ่งที่เป็นอิบาดะฮ นั้นคือ การสร้างมัสยิด การจัดงานมัสยิดไม่ใช่พิธีกรรมทางศาสนา เราจะจัดรูปแบบใดก็ได้

ก็เหมือนกับการขี่รถจักร์ยานยนตร์ไปละหมาดญะมาอะฮ ที่มัสยิด การขี่รถจักรยานยนตร์เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับทางโลก ที่เป็นตัวสนับสนุนให้เกิดความสะดวกในการไปทำอิบาดะฮ การขี่รถจักรยานไม่ใช่พิธีกรรม การขี่รถจักรยานยนตร์ คนศาสนาใหนๆก็ขี่ คงไม่มีใครอ้างว่า คนต่างศาสนิกที่ขี่รถยนตร์ เขากำลังทำอิบาดะฮ นอกจากคนปัญญาอ่อนเท่านั้น

การสร้างมหาลัยก็เช่นกัน เป็นเรื่องทางดุนยา ที่ส่งเสริมด้านศาสนา ที่เป็นอิบาดะฮคือ การปฏิบัติตามคำสั่งของรอซูลให้เรียนศาสนาเป็นข้อบังคับทุกคน จะเรียนโดยวิธีใดก็ได้ที่ให้บรรลุจุดประสงค์ตามคำสั่งคือ การเข้าใจศาสนา

อิบนุอุษัยมีน (ร.ฮ) กล่าวว่า

البدعة: هي التعبد لله بما لم يشرع"

บิดอะฮคือ การทำอิบาดะฮต่ออัลลอฮ ด้วยสิ่งที่มิได้ถูกบัญญัติไว้ - ชัรหุอัลอะกีดะฮอัลวาสิฏียะฮ

อิหม่ามอัชชาฏิบีย์กล่าวว่า

الْبِدْعَةُ : طَرِيقَةٌ فِي الدِّينِ مُخْتَرَعَةٌ ، تُضَاهِي الشَّرْعِيَّةَ ، يُقْصَدُ بِالسُّلُوكِ عَلَيْهَا مَا يُقْصَدُ بِالطَّرِيقَةِ الشَّرْعِيَّةِ
บิดอะฮคือแนวทาง ในศาสนา ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมา เลียนแบบศาสนบัญญัติ โดยมีจุดมุ่งหมายในการปฏิบัติ เหมือนกับจุดมุ่งหมายตามแนวทางศาสนบัญญัติ – ดูอัลเอียะติศอม เล่ม 1 หน้า 37

............
การจัดงานมัสยิด ไม่ใช่รูปแบบพิธีกรรมทางศาสนา ที่จัดขึ้นมาเพื่อเลียนแบบศาสนาบัญญัติ เป็นเพียงวิธีการหาเงินเพื่อสนับสนุนเรื่องศาสนา ซึ่งวิธีการจัดงาน จะจัดรูปแบบใดก็ได้ จะจัดเลี้ยง จะเชิญนักบรรยายธรรมมาบรรยายหรือไม่ก็ได้ แล้วแต่จะจัดแบบใหน

ส่วนกรณี การประดิษฐ์สิ่งใหม่ในทางดุนยานั้น เป็นสิ่งที่อนุญาตให้ทำได้ ไม่มีใครหรอกบอกว่าหลงผิด ดังที่ท่านอิบนุอับดิลบัร(ร.ฎ)ได้ชี้แจงชัดเจนว่า

وَأَمَّا ابْتِدَاعُ الْأَشْيَاءِ مِنْ أَعْمَالِ الدُّنْيَا فَهَذَا لَا حَرَجَ فِيهِ وَلَا عَيْبَ عَلَى فَاعِلِهِ

สำหรับ การประดิษฐสิ่งต่างๆ ขึ้นมาใหม่ ที่เกี่ยวกับบรรดาการกระทำ ทางดุนยา(หรือทางโลก)นั้น ไม่มีความผิดใดๆ ในมัน และไม่มีการตำหนิใดๆแก่ผู้ที่กระทำมัน - ดู อัลอิสติซกาซ เล่ม 2 หน้า 67
>>>>>>>>>>>>
จะเห็นได้ชัดเจนว่า ที่กล่าวถึง บิดอะฮที่ต้องห้ามคือ บิดอะฮทางศาสนา ไม่ใช่ทางโลก ต้องแยกให้ถูก ไม่ใช่ใช้วาทะกรรมว่า ถ้าตามนบี ทำไมไม่ไปขี่อูฐ หรือ ทำไมบรรยายศาสนาที่โรงแรม ทำไมไม่บรรยายในมัสยิด แบบสมัยนบี หรือ นั่งบนโขดหินริมเขาแล้วสอนเป็นต้น
กิจกรรมทางดุนยา กับ กิจกรรมที่เป็นอิบาดะฮ หรือพิธีกรรมทางศาสนา ต้องแยกให้ถูก ไม่อย่างนั้น ก็จะมีคำถามตามมาว่า "ขี่เครื่องบินไปทำฮัจญ์เป็นบิดอะฮไหม? ...ไปกันใหญ่ละคราวนี้

والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

เมื่อต่อต้านบิดอะฮและชิริกกลับกลายเป็นพวกสร้างฟิตนะฮ แล้วศาสนาจะเหลืออะไร


เมื่อต่อต้านบิดอะฮและชิริกกลับกลายเป็นพวกสร้างฟิตนะฮ แล้วศาสนาจะเหลืออะไร

มนุษย์ที่ยึดเอาอารมณ์เป็นพระเจ้านี่แปลก ใครพูดความจริงกระทบกับความเชื่อ ,การกระทำและผลประโยชน์ของตัวเอง ก็จะโฆษณาชวนเชื่อว่า "พวกสร้างฟิตนะฮ" -วัลอิยาซุบิลละฮ

คำว่า "ฟิตนะฮ" คืออะไร

ฟิตนะฮในอัลกุรอ่าน มีหลายความหมาย แต่ไม่มีสักความหมายเดียวที่บอกว่า คนที่นำอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮมาเผยแพร่ตามความความจริง ไม่บิดเบือน ไม่ปิดบัง คือ การสร้างฟิตนะฮ

แต่ ในทางกลับกัน การกุฟุรและการทำชิริก นั้นคือ ฟิตนะฮดังอายะฮที่ว่า

وَقَاتِلُوهُمْ حَتَّى لاَ تَكُونَ فِتْنَةٌ وَيَكُونَ الدِّينُ لِلّهِ فَإِنِ انتَهَواْ فَلاَ عُدْوَانَ إِلاَّ عَلَى الظَّالِمِينَ

และจงสู้รบกับพวกเขา จนกว่าการก่อความวุ่นวาย จะไม่ปรากฏขึ้น และจนกว่าการอิบาดะฮ์ ทั้งหลายจะเป็นสิทธิของอัลลอฮ์เท่านั้น แต่ถ้าพวกเขายุติ ก็ย่อมไม่มีการเป็นปฏิปักษ์ใด ๆ นอกจากแก่บรรดาผู้อธรรมเท่านั้น

وَقَالَ الضَّحَّاكُ ، عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ : ( وَقَاتِلُوهُمْ حَتَّى لَا تَكُونَ فِتْنَةٌ ) يَعْنِي : [ حَتَّى ] لَا يَكُونَ شِرْكٌ ، وَكَذَا قَالَ أَبُو الْعَالِيَةِ ، وَمُجَاهِدٌ ، وَالْحَسَنُ ، وقَتَادَةُ ، وَالرَّبِيعُ عَنْ أَنَسٍ ، وَالسُّدِّيِّ ، وَمُقَاتِلِ بْنِ حَيَّانَ ، وَزَيْدِ بْنِ أَسْلَمَ

อัฎเฎาะหาก ได้กล่าวรายงานจาก อิบนุอับบาสว่า (และจงสู้รบกับพวกเขา จนกว่าการก่อความวุ่นวาย จะไม่ปรากฏขึ้น) หมายถึงจนกว่า “ชิริก” จะไม่ปรากฏขึ้น และ ในทำนองเดียวกันนั้น อบูอัลอาลิยะฮ, มุญาฮิด,อัลหะซัน,เกาะตาดะฮ ,อัรเราะเบียะ รายงานจากอะนัส ,อัสสุดดีย์ , มุกอติล บิน หัยยาน และเซด บินอัสลัม ได้กล่าวไว้ - ตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม 4 หน้า 56
.................
ดังนั้น การกระทำที่เป็นการชิริก เป็นส่วนหนึ่ง จากฟิตนะฮ และคนที่ต่อต้านชิริก ไม่ใช่คนสร้างฟิตนะฮแต่ เป็นคนที่ต่อต้านการสร้างฟิตนะ

การอุตริบิดอะฮ คือ การตั้งตนเป็นผู้บัญญัติคำสอนศาสนาแข่งกับอัลลอฮและรอซูล

อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า

أَمْ لَهُمْ شُرَكَاءُ شَرَعُوا لَهُم مِّنَ الدِّينِ مَا لَمْ يَأْذَن بِهِ اللَّهُ

หรือว่าพวกเขามีภาคีต่าง ๆ ที่ได้บัญญัติศาสนาแก่พวกเขา ซึ่งอัลลอฮฺมิได้ทรงอนุมัติ-
อิบนุญะรีร อธิบายว่า

يَقُولُ - تَعَالَى ذِكْرُهُ - : أَمْ لِهَؤُلَاءِ الْمُشْرِكِينَ بِاللَّهِ شُرَكَاءُ فِي شِرْكِهِمْ وَضَلَالَتِهِمْ ( شَرَعُوا لَهُمْ مِنَ الدِّينِ مَا لَمْ يَأْذَنْ بِهِ اللَّهُ ) يَقُولُ : ابْتَدَعُوا لَهُمْ مِنَ الدِّينِ مَا لَمْ يُبِحِ اللَّهُ لَهُمُ ابْتِدَاعَهُ

พระองค์ผู้ซึ่งเกียรติของพระองค์สูงส่งยิ่ง ตรัสว่า "หรือบรรดาผู้ตั้งภาคีกับอัลลอฮเหล่านี้ มีบรรดาภาคี ในการชิริกและการหลงผิดของพวกเขา (พวกนั้นได้บัญญัติศาสนาแก่พวกเขา ซึ่งอัลลอฮฺมิได้ทรงอนุมัติ) กล่าวคือ พวกเขาอุตริศาสนาขึ้นใหม่ให้แก่พวกเขา สิ่งซึ่ง อัลลอฮไม่ทรงอนุญาตให้แก่พวกเขาอุตริมันขึ้นใหม่- ตัฟสีรอัฏฏอ็บรีย์ อรรถาธิบายอายะฮที่ ๒๑ ซูเราะฮอัชชูรอ
.............
ข้างต้นคือ พฤติกรรมของมุชริกีน ที่เชื่อตามบรรดาคำสอนศาสนาที่บรรดาผู้นำอุตริขึ้นมาใหม่

แล้ว บรรดามุสลิม ศาสนาอนุญาตให้อุตริบิดอะฮโดยอ้างว่าเป็นคำสอนศาสนาอย่างนั้นหรือ แล้วการต่อต้านสิ่งที่เป็นบิดอะฮ คือ การสร้างฟิตนะฮอย่างนั้นหรือ

ข้อความตอนหนึ่งของอิหม่ามชาฏิบีย์ (ร,ฮ) ให้เป็นข้อคิด

أَنّ السُّنَنَ تَمُوتُ إِذَا أُحْيِيَتِ الْبِدَعُ ، وَإِذَا مَاتَتْ [ السُّنَنُ ] ; انْهَدَمَ الْإِسْلَامُ .
แท้จริง บรรดาสุนนะฮ ตาย เมื่อบรรดาบิดอะฮถูกฟื้นฟูขึ้นมา และเมื่อบรรดาสุนนะฮตาย อัสลามก็พังทลาย -อัลเอียะติศอม ๑/๑๕๓

>>>>>>>>>>>
มันน่าเสียใจ ที่คนฟื้นฟูสุนนะฮ ต่อต้านบิดอะฮ กลายเป็นผู้ก่อฟิตนะฮ ในขณะที่ผู้สนับสนุนฟื้นฟูบิดอะฮ กลับกลายเป็นผู้สร้างสรรค์สังคม -วัลอิยาซุบิลละฮ แล้วศาสนาจะเหลืออะไรหรือ

والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

เจาะจงอิบาดะฮแบบใดที่เข้าข่ายเป็นบิดอะฮ


เจาะจงอิบาดะฮแบบใดที่เข้าข่ายเป็นบิดอะฮ

เห็นช่วงนี้มีการพูดกันว่า พวกวะฮบีย์ กล่าวหาว่า เยี่ยมกุโบร์วันอีด เป็นบิดอะฮ แล้วมีการใส่ไข่ว่า สิ่งสวยงามกลับห้ามทำ อะไรเป็นต้น

ขอเรียนว่า คำว่าเจาะจงอิบาดะฮ ในเวลาและสถานที่ ที่เฉพาะ ที่ถือว่า เป็นบิดอะฮคือ การเชื่อว่า เวลานั้น หรือสถานที่นั้น ประเสริฐหรือดีกว่า เวลาหรือสถานที่อื่น โดยไม่ได้มีหลักฐานทางศาสนาระบุไว้

อบูชามะฮ(ร.ฮ) กล่าวว่า

"ولا ينبغي تخصيص العبادات بأوقات لم يخصصها بها الشرع ، بل يكون جميع أفعال البر مرسلة في جميع الأزمان ليس لبعضها على بعض فضل ، إلا ما فضله الشرع وخصه بنوع من العبادة ، فإن كان ذلك ، اختص بتلك الفضيلة تلك العبادة دون غيرها

ไม่สมควรเจาะจงอิบาดะฮ ด้วยบรรดาเวลา ซึ่ง ศาสนบัญญัติไม่ได้เฉพาะเจาะจงด้วยมัน แต่ทว่า บรรดาการกระทำความดีทั้งหมด ถูกปล่อยให้อยู่ในบรรดาเวลา โดยที่ส่วนหนึ่งไม่ได้มีความประเสริฐเหนืออีกส่วนหนึ่ง เว้นแต่ สิ่งที่ ศาสนบัญญัติได้ระบุความประเสริฐมันและได้เฉพาะเจาะจงมัน ด้วยชนิดอิบาดะฮ เพราะถ้าหากได้ปรากฏดังกล่าวนั้น อิบาดะฮดังกล่าวนั้นก็ได้ถูกเจาะจง ด้วยความประเสริฐดังกล่าว โดยไม่ได้เจาะจงอิบาดะฮอื่นจากมัน- อัลบาอิษ ลิอิงการิลบิดอิ วัลหะวาดิษ หน้า 48
..........
คือ หมายถึงเจาะจงเวลา โดยเชื่อว่า ดีกว่าเวลาอื่นโดยที่ไม่มีหลักฐานทางศาสนาเจาะจงไว้

ดังเช่น ฟัตวาชัยคฺอิบนุอุษัยมีน(ร.ฮ)ดังนี้

س : ما حكم تخصيص العيدين والجمعة لزيارة المقابر ؟ وهل الزيارة للأحياء أم للأموات فيهما ؟
ถาม : การเจาะจงวันอีดทั้งสองและวันศุกร์ เพื่อเยี่ยมกุบูรนั้น มีหุกุมว่าอย่างไร? และ การเยี่ยมในมันทั้งสอง(หมายถึงในวันอีดและศุกร์) เพื่อคนเป็นหรือคนตายหรือ?

ج : ليس له أصل، فتخصيص زيارة المقابر في يوم العيد، واعتقاد أن ذلك مشروع يعتبر من البدع لأن ذلك لم يرد عن النبي صلى الله عليه وسلم ولا أعلم أحداً من أهل العلم قال به، أما يوم الجمعة فقد ذكر بعض العلماء أنه ينبغي أن تكون الزيارة في يوم الجمعة ومع ذلك فلم يذكروا في هذا أثراً عن الرسول صلى الله عليه وسلم

ตอบ : มันไม่มีที่มา ดังนั้นการเจาะจงเยี่ยมกุบูรในวันอีด และเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวนั้น เป็นสิ่งที่ถูกบัญญัติ ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของบิดอะฮ เพราะดังกล่าวนั้น ไม่ปรากฏรายงานจากนบี ศอลฯ และข้าพเจ้า ไม่รู้ว่านักวิชาการคนใด กล่าวด้วยมัน และสำหรับวันศุกร์ นั้น นักวิชาการบางส่วนระบุว่า สมควรจะเยี่ยมในวันศุกร์ ทั้งที่พร้อมกับดังกล่าวนั้น เขาไม่ได้ระบุหะดิษในเรื่องนี้จากท่านรซูล ศอลฯ – อะหกามอัลญะนาอิซ ของเช็ค อุษัยมีน หน้า 43
............
คือ ทำโดยความเชื่อว่าศาสนาส่งเสริมให้ปฏิบัติในวันนั้น

การเจาะจงในสิ่งที่ศาสนากล่าวไว้กว้างๆนั้น ตามหลักนิติศาสตร์อิสลามหรือเกาวะอีดอุศูลุลฟิกฮ ก็มีการกล่าวเอาไว้ เช่น
อัลหาฟิซอิบนุหะญัร(ร.ฮ)กล่าวในกรณีการคุตบะฮละหมาดกุุสูฟว่า ไม่ได้จำกัดเฉพาะการบอกให้รู้เกี่ยวกับสาเหตุกุสูฟอย่างเดียวโดย กล่าวว่า

وَالْأَصْلُ مَشْرُوعِيَّةُ الِاتِّبَاعِ ، وَالْخَصَائِصُ لَا تَثْبُتُ إِلَّا بِدَلِيلٍ .

หลักเดิม(ของการอิบาดะฮ)นั้น คือ สิ่งที่ถูกบัญญัติให้ปฏิบัติตาม และบรรดาการเจาะจงนั้น จะไม่ถูกยืนยัน นอกจากด้วยหลักฐาน -ฟัตหุลบารี 2/534

อิหม่าม อิบนุดะกีกีลอีด ปราชญมัวฮับชาฟิอี กล่าวว่า

إنَّ هَذِهِ الْخُصُوصِيَّاتِ بِالْوَقْتِ أَوْ بِالْحَالِ وَالْهَيْئَةِ ، وَالْفِعْلُ الْمَخْصُوصُ : يَحْتَاجُ إلَى دَلِيلٍ خَاصٍّ يَقْتَضِي اسْتِحْبَابَهُ بِخُصُوصِهِ

แท้จริงบรรดาการเจาะจงเหล่านี้ ด้วยเวลา หรือ โอกาส และ วิธีการ และการกระทำที่ถูกเจาะจง ต้องอาศัยหลักฐานที่เฉพาะ ตัดสิน การส่งเสริมให้ปฏิบัติมัน ด้วยการเจาะจงมัน – อุมดะอ อัลอะหกามของ อิบนุดะกีก ๑/๑๑๙
ข้างต้นคือหลักการเกี่ยวกับฟิกฮ ของปราชญมัซอับชาฟิอี ว่า การเจาะจง ต้องมีหลักฐาน

อิหม่ามอัชชาฏิบีย์ (ร.ฮ) กล่าวถึงตัวอย่างของบิดอะฮว่า

ومنها التزام العبادات المعينة، في أوقات معينة ، لم يوجد لها ذلك التعيين في الشريعة ، كالتزام صيام يوم النصف من شعبان ، وقيام ليلته

ส่วนหนึ่งจากมันคือ การยึดติดกับการปฏิบัติบรรดาอิบาดะฮที่เฉพาะ ในบรรดาเวลาที่เฉพาะ ,การเจาะจงดังกล่าวนั้น ไม่พบสำหรับมัน ในศาสนบัญญัติ เช่น การยึดติดกับการถือศีลอด นิสฟูชะอบาน และการละหมาดในคำคืนนั้น - อัลเอียะติศอม 1/37-39
.............
เพราะฉะนั้น หากการกระทำเพราะเกิดความสะดวก เนื่องจากเวลาไม่มีเวลาในวันอื่นและไม่เชื่อว่าดีกว่าวันอื่น ไม่ได้ถือเอาเป็นประเพณีนิยมประจำฤดูกาล ก็ไม่เข้าข่ายบิดอะฮที่ระบุข้างต้น แต่สิ่งที่ควรตระหนักคือ แบบอย่างการเจาะจงเยี่ยมกุโบร์ในวันอีด ไม่เคยปรากฏในแบบอย่างของท่านนบี ศอ็ลฯและเหล่าเศาะหาบะฮ

และชัยค์อัลบานีย์(ร.ฮ) กล่าวว่า

ج : نقول بإيجاز زيارة الأحياء للأموات يوم العيد من محدثات الأمور لأنه يعني تقييد ما أطلقه الشارع الحكيم قال النبي صلى الله عليه وسلم فـي الحديث الصحيح ( كنت نهيتكم عن زيارة القبور ألا فزوروها فإنها تذكركم بالآخرة
فقوله ( ألا فزوروها ) أمر عام لا يجوز تقييده بزمن أو بمكان خاص لأن تقييد النص وإطلاقه ليس من وظيفه الناس إنما وظيفة رب العالمين الذي كلف الرسول الكريم قال له : ( وأنزلنا إليك الذكر لتبين للناس ما نزل إليهم

ตอบ

เราขอกล่าวว่า การอนุญาตให้คนเป็นเยี่ยมคนตาย ในวันอีดนั้น เป็นส่วนหนึ่งจากกิจการที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ เพราะหมายถึง การจำกัดสิ่งที่ผู้บัญญัติศาสนาบัญญัติผู้ปรีชาญาน ได้กล่าวเอาไว้กว้างๆ ,ท่านนบี ศอ็ลฯ กล่าวไว้ในหะดิษเศาะเฮียะว่า ( ฉันเคยห้ามพวกท่านจากการเยี่ยมกุบูร พึงทราบเถิดว่า พวกท่านจงเยี่ยมมันเถิด เพราะมันจะทำให้พวกท่านระลึกถึงวันอาคีเราะฮ) แล้วคำว่า (พวกท่านจงเยี่ยมมันเถิด) เป็นคำสั่งทั่วไป ไม่ได้จำกัดเวลา หรือ สถานที่ เพราะการจำกัดกความหมายตัวบทและการกล่าวไว้กว้างๆนั้น ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่มนุษย์ แต่ความจริง มันเป็นหน้าที่ของพระผู้อภิบาลแห่งสากลจักรวาล ผู้ซึ่งมอบภาระแก่รอซูลผู้ทรงเกียรติ โดยตรัสแก่ท่านรซูลว่า “เราได้ประทานอัลกุรอ่านให้แก่เจ้า เพื่อเจ้าจะได้อธิบายแก่มนุษย์ สิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่พวกเขา – ฟะตาวาอัลบานีย์หน้า 61

.................

ทุกคนเมื่อทำอะไร ย่อมมีเหตุผลไว้ตอบเสมอ แต่เรื่องศาสนา เหตุผลย่อมฟังไม่ขึ้นหากปราศจากหลักฐาน และการเจตนาดีนั้น ต้องปฏิบัติตามสุนนะฮด้วยจึงจะได้ผล

والله أعلم بالصواب

อะสัน หมัดอะดั้ม

ทัศนะของอิหม่ามชาฟิอีเกี่ยวกับอะฮลุลกาลาม



ทัศนะของอิหม่ามชาฟิอีเกี่ยวกับอะฮลุลกาลาม

ใครคือ "อะฮลุลกาลาม

อิบนุอุษัยมีน (ร.ฮ) กล่าวว่า
أن أهل الكلام هم الذين اعتمدوا في إثبات العقيدة على العقل وقالوا إن ما اقتضى العقل إثباته من صفات الله عز وجل والعقيدة فهو ثابت وما لم يقتضِ العقل إثباته فإنه لا يثبت
แท้จริง อะฮลุลกาลามคือ บรรดาผู้ทียึด ในการรับรองอะกีดะฮ ตามปัญญา(ตามเหตุผลทางปัญญา) พวกเขากล่าวว่า สิ่งใดที่สติปัญญา ต้องการรับรองมัน จากบรรดาสิฟาต(คุณลักษณะ)อัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่ง ผู้ทรงเลิศยิ่ง มันคือ สิ่งที่แน่นอน(ถูกต้อง) และสิ่งใดสติปัญญาไม่ต้องการรับรองมัน แท้จริงมันจะไม่ถูกรับรอง- ฟะตาวานูรอะลัดดัรบิ ของ อิบนุอุษัยมีน 2/23
อิบนุอุษัยมีน กล่าวอีกว่า
فالمتكلمون هم الذي أثبتوا عقائدهم فيما يتعلق بالله تعالى وفي أمور الغيب بالعقول لا بالمنقول
บรรดามุตะกัลลิมูน (นักวิภาษวิทยา)พวกเขาคือ บรรดาผู้ที่รับรอง อะกีดะฮของพวกเขา ในสิ่งที่เกี่ยวกับอัลลอฮตาอาลา และบรรดาสิ่งที่พ้นญานวิสัย(ฆอ็ยบ) ด้วยเหตุผลทางปัญญา ไม่ใช่ด้วยหลักฐาน -จากฟัตวาที่อ้างแล้ว 2/24
..........
กล่าวคือ อะฮลุลกาลามนั้นคือ ผู้ทียึดการรับรองอะกีดะฮด้วยปัญญา สิ่งใดที่กินกับปัญญา ถือว่าสิ่งนั้น ถูกต้อง และสิ่งใดที่ไม่กินกับปัญญาก็จะไม่ถูกรับรอง

ทัศนะอิหม่ามชาฟิอี เกี่ยวกับอะฮลุลกาลาม

حَدَّثَنَا الحسن بن سعيد ، ثَنَا زَكَرِيَّا السَّاجِيُّ ، قَالَ : سَمِعْتُ الربيع ، يَقُولُ : سَمِعْتُ الشَّافِعِيَّ ، يَقُولُ : رَأْيِي وَمَذْهَبِي فِي أَصْحَابِ الْكَلَامِ أَنْ يُضْرَبُوا بِالْجَرِيدِ ، وَيَجْلِسُوا عَلَى الْجِمَالِ ، وَيُطَافُ بِهِمْ فِي الْعَشَائِرِ وَالْقَبَائِلِ ، وَيُنَادَى عَلَيْهِمْ : هَذَا جَزَاءُ مَنْ تَرَكَ الْكِتَابَ وَالسُّنَّةَ ، وَأَخَذَ فِي الْكَلَامِ .
คำแปลตัวบท

อัรเราะเบียะ กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยิน อัชชาฟิอี(หมายถึงอิหม่ามชาฟิอี) กล่าวว่า "ความเห็นของฉันและ ทัศนะของฉัน เกี่ยวกับอัศหาบิลกาลาม(นักวิภาษวิทยา) คือ ให้ตีด้วยก้านอินทผลัม ,พวกเขาจะถูกให้นั่งบนหลังอูฐ แล้วแห่(ประจาน)รอบวงศาคณาญาติและชนเผ่าต่างๆ โดยให้ประกาศบนพวกเขาว่า นี่คือการตอบแทนของผู้ละทิ้งอัลกุรอานและซุนนะห์แล้วไปรับเอาวิชากะลาม” -หุลลียะฮอัลเอาลิยาอฺ ของอบูนุอัยมฺ -9/116

อะกีดะฮของอะฮลุลกาลาม ยุคหลัง

อิหม่ามอัซซะฮะบีย์(ร.ฮ)กล่าวว่า
ومقال متأخري المتكلمين: أن الله تعالى ليس في السماء، ولا على العرش، ولا على السموات، ولا في الأرض، ولا داخل العالم، ولا خارج العالم، ولا هو بائن عن خلقه ولا متصل بهم وقالوا: جميع هذه الأشياء صفات الأجسام والله تعالى منزه عن الجسم
.
และทัศนะของบรรดานักกาลาม(นักวิภาษวิทยา) ยุคหลัง คือ แท้จริง อัลลอฮตาอาลา ไม่ได้อยู่บนฟ้า ,ไม่ได้อยู่บนอะรัช ,ไม่ได้อยู่บนบรรดาชั้นฟ้า ,ไม่ได้อยู่บนพื้นดิน , ไม่อยู่ภายในสากลจักรวาล(อาลัม) ,ไม่อยู่นอกอาลัม ,ไม่แยกจากมัคลูคของพระองค์ และไม่ติดกับพวกเขา และพวกเขา(อะฮลุลกาลาม) กล่าวว่า บรรดาสิ่งเหล่านี้คือ คุณลักษณะการมีรูปร่าง และอัลลอฮบริสุทธิ์จากการมีรูปร่าง - ดู อัลอุลูว์ ลิอะลียิลฆอ็ฟฟาร ของ อัซซะฮะบีย์ หน้า 143
...........
คือ พวกอะฮลุลกาลามยุคหลัง ปฏิเสธการอยู่บนฟ้าของอัลลอฮ และปฏิเสธการอยู่บนอะรัช เพราะอ้างว่า ดังกล่าวนั้นเป็นเป็นลักษณะของการมีรูปร่าง ผู้เขียนขอกล่าวว่า มันคือการมโนจริตคิดเอาเองตามเหตุผลทางปัญญาเท่านั้น ในสิ่งที่อยู่นอกจินตนาการโดยปราศจากหลักฐาน
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม