วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2559

วาทกรรมชงหะดิษปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ


วาทกรรมชงหะดิษปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ

Nazaie Al-baihagi

كَانَ اللَّهُ وَلَمْ يَكُنْ شَيْءٌ قَبْلَهُ وَكَانَ عَرْشُهُ عَلَى الْمَاءِ ثُمَّ خَلَقَ السَّمَوَاتِ وَالْأَرْضَ

อัลลอฮทรงมีอยู่แล้ว และไม่มีสิ่งใดอยู่ก่อนพระองค์ และ อะรัชของพระองค์นั้น อยู่บน น้ำ หลังจากนั้น พระองค์ทรงสร้างบรรดาฟากฟ้าและแผ่นดิน - หะดิษบุคอรี หมายเลข 698
////////////////
นี้คือ อะกีดะฮ์ของอะลิสซุนนะวัญญามาอะฮ์..ที่ไม่มีการบ่งบอกว่าถึงการมีสถานที่ของพระองค์ไม่ว่าสถานที่ใดๆ

@@@@

ชี้แจง

คุณ Nazaie Al-baihagi เอาหะดิษนี้มาชงตามตรรกกะปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ ถ้าไม่หมกเม็ดก็ต้องอธิบายต่อว่า

อิหม่ามบุคอรีจัดหะดิษข้างต้น ในหัวข้อเรื่อง

بَاب وَكَانَ عَرْشُهُ عَلَى الْمَاءِ وَهُوَ رَبُّ الْعَرْشِ الْعَظِيمِ قَالَ أَبُو الْعَالِيَةِ اسْتَوَى إِلَى السَّمَاءِ ارْتَفَعَ فَسَوَّاهُنَّ خَلَقَهُنَّ وَقَالَ مُجَاهِدٌ اسْتَوَى عَلَا عَلَى الْعَرْشِ

บทว่าด้วยคำตรัสของอัลลอฮ (และอะรัชนั้นอยู่บนน้ำ) (และพระองค์คือ พระเจ้าแห่งอะรัชอันยิ่งใหญ่) อบูอัลอาลียะฮ กล่าวว่า (ทรงมุ่งสู่ฟากฟ้า) หมายถึง ทรงขึ้นไป (และได้ทำให้มันสมบูรณ์) หมายถึง ทรงสร้างมัน และมุญฮิด กล่าวว่า คำว่า(อิสตะวา) หมายถึง ทรงอยู่สูงเหนือบัลลังค์ ( อะรัช) - ดูเศาะเฮียะบุคอรี เล่ม 6 หน้า 2699 หะดิษหมายเลข 6982
>>>
สรุปว่า อะกีดะฮสะลัฟ คือ อัลลอฮทรงอยู่สูง เหนือบัลลังค์

ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

فَإذَا سَأَلْتُمُ اللهَ فَسْأَلُوْهُ الْفِرْدَوْسَ فَإنَّهُ أوْسَطُ الْجَنَّةِ وَأعْلَى الْجَنَّةِ أُرَاهُ فَوْقَهُ عَرْشُ الرَّحْمَانِ وَمِنْهُ تَفَجَّرَ أنْهَارُ الْجَنَّةِ

“เมื่อพวกท่านวิงวอนขอต่ออัลลอฮ์ ก็จงขอสวรรค์ อัลฟิรเดาซ์ เพราะมันอยู่ครงกลางและสูงสุดของสวรรค์ บัลลังค์ของอัลลอฮ์ถูกมองเห็นจากด้านบนของมัน และบรรดาแม่น้ำในสวรรค์พวยพุ่งออกจากมัน” ศอเฮียะห์บุคอรี ฮะดีษเลขที่ 2581
อิบนุคุซัมะฮ (ร.ฮ) อธิบายหะดิษข้างต้นว่า

قَالَ أَبُو بَكْرٍ : فَالْخَبَرُ يُصَرِّحُ أَنَّ عَرْشَ رَبِّنَا جَلَّ وَعَلا فَوْقَ جَنَّتِهِ ، وَقَدْ أَعْلَمَنَا جَلَّ وَعَلا أَنَّهُ مُسْتَوٍ عَلَى عَرْشِهِ ، فخَالِقُنَا عَالٍ فَوْقَ عَرْشِهِ الَّذِي هُوَ فَوْقَ جَنَّتِهِ

อบูบักร์ กล่าวว่า “และหะดิษ ได้อธิบายชัดเจนว่า แท้จริง อะรัชของพระเจ้าของเรา (ผู้ทรงเกรียงไกร ผู้ทรงเลิศยิ่ง ) อยู่เหนือสวรรค์ ของพระองค์ และ พระองค์(ผู้ทรงเกรียงไกร ผู้ทรงเลิศยิ่ง) ได้บอกให้เรารู้ว่า “แท้จริง พระองค์ทรงสถิต(ทรงอยู่) บนอะรัชของพระองค์ และ พระเจ้าผู้ทรงสร้าง อยู่สูงเหนือ อะรัช ของพระองค์ ซึ่ง มันอยู่เหนือสวรรค์ของพระองค์ –
กิตาบุตเตาฮีด เล่ม 1 หน้า 241
@@@@@@@
มีรายงานจากคำพูดของปราชญ์ยุคสะลัฟผู้ทรงธรรมอีกมากมาย ทียืนยันว่า “อัลลอฮทรงอยู่เหนืออะรัช” เพราฉะนั้น ใครก็ตามที่ปฏิเสธ ก็ให้ทำการเตาบะฮ(สารภาพผิด)ต่ออัลลอฮโดยเร็ว และขออัลลอฮทรงชีนำทางเขาด้วย อย่าตบตาคนอีกเลย ยุคนี้วิชาการมันเข้าถึงชนทุกระดับ จะปกปิด บิดเบือน ปิดบังไม่ได้อีกแล้ว พึงสังวร

والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

จับเท็จการบิดเบือนหะดิษเพื่อปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ

จับเท็จการบิดเบือนหะดิษเพื่อปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ

ดเห็นอีก 10 รายการ
Nazaie Al-baihagi
Nazaie Al-baihagi อิหม่ามบุคอรี กล่าวว่า

وقال ضمرة بن ربيعة عن صدقة سمعت سليمان التيمي يقول لو سئلت أين الله لقلت في السماء فإن قال فأين كان عرشه قبل السماء لقلت على الماء فإن قال فأين كان عرشه قبل الماء لقلت لا أعلم قال أبو عبد الله وذلك لقوله تعالى { ولا يحيطون بشيء من علمه إلا بما شاء } يعني إلا بما بين

และฎอ็มเราะฮ บิน เราะบีอะฮ ได้รายงานจาก เศาะดะเกาะฮ ว่า ฉันได้ยินจากสุลัยมานอัตตัยมีย์ กล่าวว่า “ฉันถูกถามว่า “อัลลอฮอยู่ใหน? ฉันตอบว่า “อยู่บนฟ้า แล้วถ้าเขากล่าวว่า “ อะรัชของพระองค์ อยู่ใหน ก่อนที่ มีฟากฟ้า ,ฉันก็จะกล่าวว่า “อยู่บนน้ำ แล้วถ้าเขากล่าวถามว่า อะรัชของพระองค์อยู่ใหน ก่อนที่มีน้ำ ฉันก็จะกล่าวว่า “ฉันไม่รู้ ,อบูอับดุลลอฮ กล่าวว่า ดังกล่าวนั้นแหละ
/////////////////
จับเท็จความหมายที่วะฮาบีย์อาดิสันกอปมาแปะในคำว่าفي السماء
ความหมายคือ ในฟากฟ้าหรือในชั้นฟ้าทั้ง7ชั้น.
คำๆนี้เป็นความหมายผิวเผินที่ไม่มีอุลามะสลัฟและคลัฟท่านใดให้ความหมายว่า "อัลลอฮ์(ผู้ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งทั้งมวล)อยู่บนฟ้า"
แม้ท่านเดียว..

>>>>>>>>>>>>>>>

ชี้แจง

ข้างต้นคุณ Nazaie Al-baihagi ซึ่งมีอะกีดะฮตามแนวคิดตรรกนิยมแบบอะฮลุลกาลาม ปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ โดยอ้างว่า "คำว่า " فى السماء (ฟิสสะมาอ)ว่า แปลว่า ในฟากฟ้าหรือในชั้นฟ้าทั้ง7ชั้น นี้แสดงถึงความโง่เขลาในวิชาภาษาอาหรับและความความไม่เข้าใจในอะกีดะฮสะลัฟ เพราะฉะนั้นมาดู การอธิบายของปราชญสะลัฟ คำว่า "في السماء (ฟิสสามาอฺ)ดังนี้

อัลหาฟิซ อิบนุอับดุลบีร (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า

" وأما قوله تعالى : ( أَأَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ أَنْ يَخْسِفَ بِكُمُ ) الملك/16 فمعناه مَن على السماء يعني على العرش ، وقد يكون في بمعنى على ، ألا ترى إلى قوله تعالى : ( فَسِيحُوا فِي الْأَرْضِ أَرْبَعَةَ أَشْهُرٍ ) التوبة/2 أي : على الأرض . وكذلك قوله : ( وَلَأُصَلِّبَنَّكُمْ فِي جُذُوعِ النَّخْلِ ) طه/71 " انتهى.

สำหรับคำตรัสของอัลลอฮตะอาลาที่ว่า (หรือว่าพวกเจ้าจะปลอดภัยจากการที่พระผู้ทรงสถิตย์อยู่ ณ ฟากฟ้าจะทรงส่งลมหอบก้อนกรวดให้กระหน่ำมายัง พวกเจ้า) - อัลมุลกุ/16 และความหมายของมันคือ ผู้ทรงอยู่บนฟากฟ้า หมายถึง อยู่บนอะรัช และบางครั้งคำว่า “ ฟี”(ใน) มีความหมายว่า “อะลา(บน) ท่านไม่เห็นดอกหรือ คำตรัสของอัลลอฮตะอาลาที่ว่า (ดังนั้นพวกท่าน จงท่องเที่ยวไปในแผ่นดินสี่เดือน) - อัตเตาบะฮ/2 หมายถึง บนแผ่นดิน และในทำนองเดียวกัน คำตรัสของอัลลอฮที่ว่า(และฉันจะเอาพวกท่านไปตรึงไว้ที่ต้นอินทผาลัม) – อัตตัมฮีด เล่ม 7 หน้า 30

.........................

ท่านอิบนุอับดุลบิร ได้อธิบายว่า คำว่า "ฟี" ในอายะฮ ที่ว่าในฟากฟ้า หมายถึง บนฟากฟ้า บนอะรัช
คุณ Nazaie Al-baihagi ไม่มีความรู้ความเข้าใจในศาสนา แต่จะเอาชนะชงและบิดเบือนโฆษณาชวนเชื่อว่าผมแปลผิด(เพราะเป็นข้อมูลของผม) คุณ Nazaie Al-baihagi ครับ
คำว่า "في السماء มีใครเขาแปลว่าในฟ้าครับ และคำว่า في الارض (ฟิลอัรฎี) ผมของถามว่า คุณอยู่ในดิน หรืออยู่บนพื้นดินครับ ,ไม่รู้แล้วมาชี้ ช่างน่าเวทนายิ่งนัก
มาดูต่อครับท่าน Nazaie Al-baihagi

อบูบักร์ อะหมัด อัศศอ็บฆี (ฮ.ศ 342) กล่าวว่า

قد تضع العرب ;في بموضع ;على; قال الله عز وجل: {فسيحوا في الأرض}، وقال {لأصلبنكم في جذوع النخل} ومعناه: على الأرض وعلى النخل ، فكذلك قوله: {في السماء} أي على العرش فوق السماء، كما صحت الأخبار عن النبي صلى الله عليه وسلم

แท้จริง อาหรับได้วาง คำว่า “ฟี”(แปลว่าใน) ด้วยที่ของคำว่า “อะลา” (แปลว่าบน) ,อัลลอฮตะอาลาผู้ทรงอำนาจ
ผู้ทรงเลิศยิ่ง ตรัสว่า (ดังนั้นพวกท่าน จงท่องเที่ยวไปในแผ่นดิน) และตรัสว่า(แน่นอนฉันจะเอาพวกท่านไปตรึงไว้ในต้นอินทผาลัม) และความหมายของมันคือ บน แผ่นดินและบนต้นอินทผลัม ในทำนองเดียวกัน คำตรัสของพระองค์ที่ว่า (ในฟากฟ้า )หมายถึง บน อะรัช เหนื่อฟากฟ้า ดังเช่นที่บรรดาหะดิษที่เศาะเฮียะจากนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม(ได้ระบุไว้) – ดูที่มาข้างล่าง

الأسماء والصفات للبيهقي (ص324)، قال: (قال أبو عبد الله الحافظ: قال الشيخ أبو بكر أحمد بن إسحاق بن أيوب الفقيه: ...) وذكره. والسند صحيح، فأبو عبد الله الحافظ هو الحاكم وكان من تلاميذ الصبغي، وكان الحاكم من شيوخ البيهقي رحمهم الله جميعا.

คำว่า ในฟ้า หมายถึง บนฟากฟ้า นี่คือคำอธิบายของสะลัฟ

คุณ Nazaie Al-baihagi ครับ คุณค้านเขา ทั้งๆที่ไม่มีความรู้ในเรื่องศาสนา สิ่งที่ผมอธิบายและได้แนบหลักฐานเพื่อยืนยันว่า
คำว่า "في السماء
หมายถึง บนฟ้า ไม่ใช่อย่างที่คุณอ้างบิดเบือนว่า

ในฟากฟ้าหรือในชั้นฟ้าทั้ง7ชั้น.
คำๆนี้เป็นความหมายผิวเผินที่ไม่มีอุลามะสลัฟและคลัฟท่านใดให้ความหมายว่า "อัลลอฮ์(ผู้ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งทั้งมวล)อยู่บนฟ้า"
แม้ท่านเดียว..
>>
ความหมายแบบผิดเผิน คำนี้ใครสอนคุณ คุณจับเท็จคุณเอดิสัน แต่กลายเป็นว่าคุณนั้นแหละอ้างเท็จเสียเอง -วัลอิยาซุบิลละฮ

เมื่อคุณ Nazaie Al-baihagi อ่านแล้วช่วยตอบ ๒ ข้อคือ
๑. คำว่า ความหมายแบบผิวเผิน ไปเอาคำศัพย์มาจากปทานุกรมเล่มใดครับ
๒. คำว่า "ฟิสสมาอ" ปราชญสะลัฟคนใหนให้ความหมายว่า "ในเจ็จชั้นฟ้าครับ
ถ้าตอบไม่ได้ หยุดพฤติกรรมให้ร้ายคนอื่นแล้วบิดเบือนทางวิชาการเสีย

والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

หะดิษอาหาดใช้เป็นหลักฐานในเรื่องอะกีดะฮไม่ได้จริงหรือ

หะดิษอาหาดในทางภาษาคือ

الآحاد جمع أحد بمعنى الواحد ،وخبر الواحد هو ما يرويه شخص واحد

อัลอาหาด เป็นพหุพจน์ของคำว่า อะหัด ด้วยความหมายว่า วาหิด (คนเดียว) และเคาะบัรอะหาดคือ สิ่งที่ บุคคลเพียงคนเดียวรายงาน
ส่วนความหมายในทางศาสนา คือ
الحديث الذي لم يجمع شروطا لمتواتر.

หะดิษที่ไม่ได้รวมบรรดาเงื่อนไข ของหะดิษมุตาวาตีร

กล่าวคือ หะดีษอาหาด آحاد คือหะดีษที่ไม่ถึงระดับมุตะวาติรนั้นเอง

ขอเรียนว่า หะดิษหรือเคาะบัรอาหาด หากเศาะเฮียะ ก็สามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานในทางศาสนา ไม่ว่า ในเรื่องอะกีดะฮหรือเรื่องอิบาดะฮเพราะมันคือคำสอนศาสนาเหมือนกัน
อิบนุกอ็ยยิม กล่าวว่า

ومعلوم مشهور استدلال أهل السنة بالأحاديث ورجوعهم إليها، فهذا إجماع منهم على القبول بأخبار الآحاد، وكذلك أجمع أهل الإسلام متقدموهم ومتأخروهم على رواية الأحاديث في صفات الله تعالى ومسائل القدر والرؤية وأصول الإيمان

และเป็นที่รู้กันแพร่หลายว่า อะฮลุสสุนนะฮ อ้างหลักฐานด้วยบรรดาหะดิษ และพวกเขากลับไปยังมัน ดังนั้นนี้คือ มติเอกฉันท์จากพวกเขา บนการรับรองเคาะบัรอะหาด (การบอกเล่าของคนๆเดียวหรือหะดิษไม่อยู่ในระดับมุตะวาตีร) และในทำนองเดียวกันนั้นชาวอิสลาม ยุคก่อนและยุคหลัง ของพวกเขา มีมติบนรายงานบรรดาหะดิษ ในเรื่องบรรดาสิฟาตอัลลอฮ ตาอาลา ,บรรดาประเด็นเรื่องอัลเกาะดัร ,เรื่องการเห็นอัลลอฮ และบรรดาหลักการศรัทธา....ดูมุคตะศอรอัศเศาะวาอิกอัลมุระละฮ 1/332
อิบนุอับดุลบัร ขออัลลอฮเมตตาต่อท่านกล่าวว่า

وكلهم يرون خبر الواحد العدل في الاعتقادات، ويعادي ويوالي عليها، ويجعلها شرعاً وحكماً وديناً في معتقده، على ذلك جماعة أهل السنة

พวกเขาทั้งหมด รายงานคำบอกเล่าของคนๆเดียว(หมายถึงหะดิษอะหาด) ที่อาดิล(ที่มีคุณธรรม) ในเรืองอะกีดะฮ และเป็นปฏิปักษ์และเป็นมิตรกันบนมัน (บนคำบอกเล่าของคนๆเดียวที่อาดิล(มีคุณธรรม) และได้กำหนดมัน ให้เป็นศาสนบัญญัติ ,เป็นหุกุมและ เป็นศาสนา ในอะกีดะฮของเขา บนดังกล่าวนั้น คือทัศนะของญะมาอะฮอะฮลุสสุนนะฮ – อัตตัมฮีด เล่ม 1 หน้า 8
........
อิบนุอับดุลบีร ระบุว่า ทัศนะของนักวิชาการคณะหนึ่งที่เป็นชาวอะฮลุสสุนนะฮ นำหะดิษอาหาดที่เศาะเฮียะมาใช้เป็นหลักฐานในเรื่อง อะกีดะฮและเรื่อง หุกุม ศาสนา

อิบนุดะฮียะฮ กล่าวว่า
وعلى قبول خبر الواحد الصحابة والتابعون وفقهاء المسلمين وجماعة أهل السنة، يؤمنون بخبر الواحد ويدينون به في الاعتقاد"

และบนการรับรองเคาะบัรวาฮิด(คำบอกเล่าของคนๆเดียว)นั้น, บรรดาเศาะหาบะฮ,บรรดาตาบิอีน, บรรดานักวิชาการฟิกฮของบรรดามุสลิม และคณะหนึ่งจากอะฮลิสสุนนะฮ และพวกเขาเชื่อด้วยคำบอกเล่าของคนๆเดียว และพวกเขายึดถือศาสนาด้วยมันในเรื่องหลักศรัทธา- อัลอิบติฮาจญ ฟี อะหาดิษ มินฮาจญ หน้า 78
เพราะฉะนั้นการอ้างว่าหะดิษอาหาดมาอ้างเป็นหลักฐานไม่ได้เป็นคำพูดที่ไร้น้ำหนัก เพราะแม้แต่อิหม่ามชาฟิอีและอิหม่ามบุคอรีก็ยังอนุญาตให้ใช้หะดิษเป็นหลักฐาน โดยไม่ได้แยกว่า เรื่องอะกีดะฮหรือเรื่องอิบาดะฮแต่อย่างใด ดู อัรริสาละฮ หน้า 457 และฟัตหุ้ลบารีย เล่ม 13 หน้า 233
.........................

จึงไม่ทราบว่า กลุ่มอาชาอีเราะบ้านเรา ใช้อะไรเป็นมาตรฐานว่า ถ้าหะดิษอาหาดใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ ถึงขนาด ไม่ยอมรับหะดิษญารียะฮ
อีกข้ออ้างหนึ่ง ท่านมุหัษดิษ ฮัมดี สุหลง บอกว่า สำนวนอื่นที่รายงานต่างกันหลายบท ที่ไม่สามารถรวมกันได้
........................
ขอตอบว่า นั้นคือตรรกของพวกญะฮมียะฮเช่น หะซัน อาลีย์ อัสสักกอฟ เพราะหะดิษญารียะฮ ที่นางกล่าวว่า อัลลอฮอยู่บนฟ้า เป็นหะดิษเศาะเฮียะ แม้แต่อิหม่ามชาฟิอีก็นำเป็นหลักฐาน และปราชญ์คนสำคัญในมัซฮับชาฟิอี คือ อัลหาฟิซ อิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีย์ ก็ยืนยันว่า เศาะเฮียะ
อิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีย์กล่าวว่า

قِصَّةِ الْجَارِيَةِ الَّتِي سَأَلَهَا النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنْتِ مُؤْمِنَةٌ؟ قَالَتْ نَعَمْ ، قَالَ فَأَيْنَ اللَّهُ ؟ قَالَتْ فِي السَّمَاءِ ، فَقَالَ أَعْتِقْهَا فَإِنَّهَا مُؤْمِنَةٌ ، وَهُوَ حَدِيثٌ صَحِيحٌ أَخْرَجَهُ مُسْلِمٌ

เรื่องราวของทาสหญิง ที่นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ถามนางว่า เธอเป็นผู้ศรัทธาใช่ไหม ? นางกล่าวว่า “ค่ะ ,ท่านนบีถามว่า “อัลลอฮอยู่ใหน?นางตอบว่า อยู่บนฟากฟ้า ,แล้วท่านนบีกล่าวว่า “จงปล่อยนางให้เป็นอิสระ เพราะแท้จริงนาง เป็นผู้ศรัทธา ,โดยที่มันเป็นหะดิษเศาะเฮียะ บันทึกโดย มุสลิม – ดูฟัตหุลบารีย์ เล่ม ๑๓ หน้า ๓๕๙
.......................
หาฟิซอิบนุหะญัร ซึ่งอะชาอีเราะฮอ้างว่า เป็นอะชาอีเราะฮ ยอมรับหะดิษนี้ แต่ อะชาอีเราะฮในเว็บสะติวเด้นบอกว่า เฎาะอีฟ แล้วนำเสนอหะดิษ อีกบทหนึ่งซึ่งเฏาะอีฟ มาค้าน
………………………
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

ท่านอุมัรทำบิดหะสะนะฮจริงหรือ

ท่านอุมัรทำบิดหะสะนะฮจริงหรือ

คำกล่าวหา ฟิตน่ะห์ จาก...

Sohin Wahabisesah
เมื่อวานนี้ เวลา 0:11 น.
บิดอะ ตามแบบฉบับวะฮาบี มันร้ายราคาจริงๆ

เพราะทุกๆบิดอะลงนรกเพ่ ขนาดซัยยีดีนัร อูมัร หลังละหมาดรวม ตะรอเวียในคืนทีสองเสร็จสิ้น ซัยยีดีนัร อูมัร (รฮ) หลุดขึ้นยืน แล้วก็เขา (ซัยยีดีนัร อูมัร ) กล่าวว่า นี้แหละบิดอะทีดียิน

แล้วผู้นำวะฮาบีอันสูงสุดกับซัยยีดีนัร อูมัร (รฮ) ครั้ยเป็นซอฮาบะห์นบี และไกล้กับนบี และ น่าเชือถือสุดๆ �#�จงกลับตัวกลับกลับใจยังทันนะวะฮาบีเอ่ย� แต่ถ้าอยากตายในซุลูมะห์ของซัยตอน จงอยู่ต่อๆไปก็ได้นะฮะ

@@@@

ชีแจง.....

หลายคนมักจะนำเอาคำพูดของ เคาะลิฟะฮอุมัร(ร.ฎ)ที่ว่า

“نعمت البدعة هذه
นี้ช่างเป็น บิดอะฮที่ดีแท้
มาอ้างเป็นหลักฐานเด็ดในการประดิษฐ์บิดอะฮ ตามความเห็นว่า "ดี" ตั้งชื่อว่าบิดอะฮที่ดี(บิดอะฮหะสะนะฮ")
อับดุร-เราะหมาน บุตร อับดิ้ลกอรี ได้เล่าว่า

عَنْ عَبْدِ الرَّحْمَنِ بْنِ عَبْدٍ الْقَارِيِّ أَنَّهُ قَالَ خَرَجْتُ مَعَ عُمَرَ بْنِ الْخَطَّابِ فِي رَمَضَانَ إِلَى الْمَسْجِدِ فَإِذَا النَّاسُ أَوْزَاعٌ مُتَفَرِّقُونَ يُصَلِّي الرَّجُلُ لِنَفْسِهِ وَيُصَلِّي الرَّجُلُ فَيُصَلِّي بِصَلَاتِهِ الرَّهْطُ فَقَالَ عُمَرُ وَاللَّهِ إِنِّي لَأَرَانِي لَوْ جَمَعْتُ هَؤُلَاءِ عَلَى قَارِئٍ وَاحِدٍ لَكَانَ أَمْثَلَ فَجَمَعَهُمْ عَلَى أُبَيِّ بْنِ كَعْبٍ قَالَ ثُمَّ خَرَجْتُ مَعَهُ لَيْلَةً أُخْرَى وَالنَّاسُ يُصَلُّونَ بِصَلَاةِ قَارِئِهِمْ فَقَالَ عُمَرُ نِعْمَتِ الْبِدْعَةُ هَذِهِ وَالَّتِي تَنَامُونَ عَنْهَا أَفْضَلُ مِنْ الَّتِي تَقُومُونَ يَعْنِي آخِرَ اللَّيْلِ وَكَانَ النَّاسُ يَقُومُونَ أَوَّلَهُ

คืนหนึ่งของเดือนเราะมะฏอน ข้าพเจ้าได้ออกไปมัสญิด พร้อมกับท่านอุมัร บุตร อัลคอฏฏอบ แล้วปรากฏว่า บรรดาผู้คนในขณะนั้นอยู่ใน
สภาพที่กระจัดกระจาย (ไม่ได้ละหมาดร่วมกัน แต่ต่างทำหรือต่างกลุ่มต่างทำ) บ้างก็ละหมาดคนเดียว,บ้างก็ละหมาดแล้วมีกลุ่มคนมาละหมาด
ตามหลัง แล้วท่านอุมัรก็กล่าวว่า
“ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮ,ข้าพเจ้าเห็นว่า หากข้าพเจ้ารวมคนเหล่านี้ ให้มาละหมาดตามอิหม่ามคนเดียวคงจะประเสริฐยิ่งกว่า
หลังจากนั้น ท่านได้ตั้งใจที่จะกระทำเช่นนั้น แล้วท่านก็ได้รวบรวมให้พวกเขาละหมาดตาม อุบัย บุตร กะอับ เขา (อับดุรเราะหมาน)ได้กล่าวต่อไปว่า
หลังจากนั้นในอีกคืนหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ออกไปพร้อมกับท่านอุมัร โดยที่บรรดาผู้คนกำลังละหมาดร่วมกัน ตามหลังอิหม่ามของพวกเขา, แล้ว
ท่านอุมัรได้กล่าวขึ้นว่า “ นี้ช่างเป็น บิดอะฮ(การริ่เริ่ม)ที่ดีแท้” และบรรดาผู้ที่ละหมาด(ญะมาอะฮ)ในช่วงต้นของกลางคืนแล้วนอนย่อมประเสริฐกว่า
พวกเขานอนหลับแล้วตื่นขึ้นมาละหมาดนี้คนเดียว
-รายงานโดยบุคอคอรี กิตาบุตตะรอเวียะและอิหมาลิกในอัลมุวัฏเฏาะ
ขอชี้แจงว่า
ขอยืนยันว่าท่านอุมัร ไม่ได้ทำบิดอะฮ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1. การละหมาดตะรอเวียะ โดยการตามคนเดียว ท่านนบี ศอลฯ เคยทำแบบอย่างไว้แล้ว ดังหะดิษอบีบีซัรริน ร.ฎ อีกครั้ง

صُمْنَا مَعَ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ رَمَضَانَ ، فَلَمْ يَقُمْ بِنَا شَيْئًا مِنَ الشَّهْرِ حَتَّى بَقِيَ سَبْعٌ ، فَقَامَ بِنَا حَتَّى ذَهَبَ نَحْوٌ مِنْ ثُلُثِ اللَّيْلِ ، فَلَمَّا كَانَتِ اللَّيْلَةُ الثَّالِثَةُ لَمْ يَقُمْ ، فَلَمَّا كَانَتِ اللَّيْلَةُ الْخَامِسَةُ قَامَ بِنَا حَتَّى شَطْرِ اللَّيْلِ ، فَقُلْتُ : يَا رَسُولَ اللَّهِ ، لَوْ نَفَّلْتَنَا قِيَامَ هَذِهِ اللَّيْلَةِ ؟ قَالَ : فَقَالَ : إِنَّ الرَّجُلَ إِذَا قَامَ مَعَ الإِمَامِ حَتَّى يَنْصَرِفَ كُتِبَ لَهُ قِيَامُ لَيْلَتِهِ ، فَلَمَّا كَانَتِ اللَّيْلَةُ الرَّابِعَةُ لَمْ يَقُمْ ، فَلَمَّا كَانَ فِي اللَّيْلَةِ الثَّالِثَةِ جَمَعَ أَهْلَهُ وَنِسَاءَهُ ، فَقَامَ بِنَا حَتَّى خَشِينَا أَنْ يَفُوتَنَا الْفَلاحُ ، قُلْتُ : وَمَا الْفَلاحُ ؟ قَالَ : السَّحُورُ ، ثُمَّ لَمْ يَقُمْ بِنَا بَقِيَّةَ الشَّهْرِ

พวกเราได้ถือศีลอดเดือนเราะมะฎอน พร้อมกับท่านรซูลุลอฮ ศอลฯ แล้วท่านไม่ได้นำละหมาดพวกเราเลยสักคืน จากเดือน นั้น จนกระทั้ง เหลือเจ็ดคืน แล้วท่านได้นำละหมาดพวกเรา จนกระทั้งผ่านไปหนึ่งในสามของกลางคืน แล้วปรากฏว่าเมือเหลืออีกหกวัน ท่านไม่ได้นำละหมาดพวกเรา แล้วเมื่อเหลือห้าวัน ท่านได้นำละหมาดพวกเรา จนกระทั้งผ่านไปครึ่งคืน แล้วข้าพเจ้ากล่าวว่า”โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ ถ้าพวกเราอาสาจะลุกขึ้นละหมาดในคืนเหล่านี้(จะดีไหม)
แล้วท่านได้กล่าวตอบว่า “แท้จริงคนใดเมื่อเขาได้ละหมาดพร้อมกับอิหม่าม จนกระทั้งเสร็จ เขาจะได้รับการตอบแทนเท่ากับละหมาดทั้งคืน แล้วเมื่อเหลืออีกสี่คืน ท่านไม่ได้นำละหมาดพวกเรา แล้วเมื่อเหลืออีกสามคืน ท่านได้ชุมนุมครอบครัวของท่าน บรรดาภรรยาของท่านและบรรดาผู้คน แล้วท่านได้นำละหมาด พวกเรา จนกระทั้งพวกเราเกรงว่าจะชวดอัล-ฟัลลาห เขา(อบูซัร)กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า “อัล-ฟัลลาหนั้นคือ อะไร ท่านได้ตอบว่า คือ การรับประทานสะหูร แล้วคืนที่เหลือในเดือนนั้น ท่านก็ไม่ได้ละหมาดนำพวกเรา – หะดิษเศาะเหียะ รายงานโดยเจ้าของสุนัน
...........................
แล้วเมื่อมีหลักฐานอย่างนี้ ท่านอุมัรจะหมายถึงบิดอะฮในทางศาสนาได้อย่างไร
2. การละหมาดตารอเวียะโดยมีอิหม่ามนำนั้น ท่านนบี ศอ็ลฯ ได้ส่งเสริมให้กระทำ ดังข้อความหะดิษอบีซัรรินที่ว่า
لَوْ نَفَّلْتَنَا قِيَامَ هَذِهِ اللَّيْلَةِ ؟ قَالَ : فَقَالَ : إِنَّ الرَّجُلَ إِذَا قَامَ مَعَ الإِمَامِ حَتَّى يَنْصَرِفَ كُتِبَ لَهُ قِيَامُ لَيْلَتِهِ
ข้าพเจ้ากล่าวว่า”โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ ถ้าพวกเราอาสาจะลุกขึ้นละหมาดในคืนเหล่านี้(จะดีไหม)
แล้วท่านได้กล่าวตอบว่า “แท้จริงคนใดเมื่อเขาได้ละหมาดพร้อมกับอิหม่าม จนกระทั้งเสร็จ เขาจะได้รับการตอบแทนเท่ากับละหมาดทั้งคืน –
........................
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ท่านนบีส่งเสริม จะเป็นบิดอะฮได้อย่างไร
3. การละหมาดญะมาอะฮตะรอเวียะ โดยการตามอิหม่ามคนเดียว ได้เกิดขึ้นก่อนคำพูด ของท่านอุมัร ที่ว่า نعمت البدعة هذه (บิดอะฮที่ดี คือ สิ่งนี้) แล้ว ดังหะดิษ อับดุรเราะหมาน บิน อับดุลกอรีย์ (ร.ฎ)

خَرَجْتُ مَعَ عُمَرَ بْنِ الْخَطَّابِ رَضِي اللَّه عَنْهم لَيْلَةً فِي رَمَضَانَ إِلَى الْمَسْجِدِ. فَإِذَا النَّاسُ أَوْزَاعٌ مُتَفَرِّقُونَ يُصَلِّي الرَّجُلُ لِنَفْسِهِ وَيُصَلِّي الرَّجُلُ فَيُصَلِّي بِصَلاَتِهِ الرَّهْطُ. فَقَالَ عُمَرُ: إِنِّي أَرَى لَوْ جَمَعْتُ هَؤُلاَءِ عَلَى قَارِئٍ وَاحِدٍ لَكَانَ أَمْثَلَ ثُمَّ عَزَمَ فَجَمَعَهُمْ عَلَى أُبَيِّ بْنِ كَعْبٍ. ثُمَّ خَرَجْتُ مَعَهُ لَيْلَةً أُخْرَى وَالنَّاسُ يُصَلُّونَ بِصَلاَةِ قَارِئِهِمْ. قَالَ عُمَرُ: نِعْمَ الْبِدْعَةُ هَذِهِ وَالَّتِي يَنَامُونَ عَنْهَا أَفْضَلُ مِنِ الَّتِي يَقُومُونَ. يُرِيدُ آخِرَ اللَّيْلِ وَكَانَ النَّاسُ يَقُومُونَ أَوَّلَهُ.
คืนหนึ่งในเดือนเราะมะฎอน ข้าพเจ้าได้ออกไปพร้อมกับ อุมัร บิน อัลคอฏฏอ็บ ไปยังมัสยิด ได้พบว่าประชาชนได้แยกกันเป็นกลุ่ม ๆ คนหนึ่งละหมาดคนเดียวตามลำพัง และคนหนึ่ง ละหมาดแล้วคนกลุ่มหนึ่งละหมาดตามเขา ท่านอุมัรได้กล่าวขึ้นว่า ฉันเห็นว่า ถ้าหากฉันรวมพวกเขาเหล่านี้ ให้ตามอิหม่ามเพียงคนเดียวก็จะเป็นการดียิ่ง ต่อมาท่านอุมัรก็ได้รวมผู้คนให้ละหมาดตามอุบัยย์ บุตร กะอับ จากนั้นฉันได้ออกไปพร้อมกับเขาในอีกคืนหนึ่ง ประชาชนกำลังละหมาดตามอิหม่ามของเขา ท่านอุมัรกล่าวว่า "นี่เป็นบิอะฮที่ดี ช่วงเวลาที่พวกเขานอนกันนั้น ดีกว่าช่วงเวลาที่พวกเขาละหมาดกิยาม เขาหมายถึงช่วงเวลาท้ายคืน แต่ประชาชนจะละหมาดกยามในตอนหัวค่ำ"- เศาะเฮียะบุคอรี กิตาบุตตะรอเวียะ
………….
คำว่า “وَيُصَلِّي الرَّجُلُ فَيُصَلِّي بِصَلاَتِهِ الرَّهْطُ
และคนหนึ่ง ละหมาดแล้วคนกลุ่มหนึ่งละหมาดตามเขา
......
แสดงให้เห็นว่า การละหมาดตะรอเวียะ โดยการตามอิหม่ามคนเดียวก็มีมาก่อนคำพูดของท่านอุมัร ความจริงท่านอุมัร เป็นผู้ฟื้นฟูสุนนะฮที่ปรากฏในสมัยของท่านนบี ศอ็ลฯ ทั้งนี้เพราะในสมัยของเคาะลิฟะฮอบูบักร อัศเศาะดีก ท่านสาละวนอยู่กับ การปราบปรามขบถศาสนา จึงไม่มีเวลามาจัดระเบียบให้เป็นไปตามที่ท่านนบี ศอ็ล ฯเคยปฏิบัติ
4. การกระทำของอุมัรเป็นมติเห็นฟ้องของเหล่าเศาะหาบะฮ ดังหลักฐานต่อไปนี้

وَرَوَى أَسَدُ بْنُ عَمْرٍو عَنْ أَبِي يُوسُفَ قَالَ : سَأَلْتُ أَبَا حَنِيفَةَ عَنِ التَّرَاوِيحِ وَمَا فَعَلَهُ عُمَرُ ؟ فَقَالَ : التَّرَاوِيحُ سُنَّةٌ مُؤَكَّدَةٌ وَلَمْ يَتَخَرَّصْهُ عُمَرُ مِنْ تِلْقَاءِ نَفْسِهِ وَلَمْ يَكُنْ فِيهِ مُبْتَدِعًا ، وَلَمْ يَأْمُرْ بِهِ إِلَّا عَنْ أَصْلٍ لَدَيْهِ وَعَهْدٍ مِنْ رَسُولِ اللَّهِ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - ، وَلَقَدْ سَنَّ عُمَرُ هَذَا وَجَمَعَ النَّاسَ عَلَى أُبَيِّ بْنِ كَعْبٍ فَصَلَّاهَا جَمَاعَةً وَالصَّحَابَةُ مُتَوَافِرُونَ : مِنْهُمْ عُثْمَانُ وَعَلِيٌّ وَابْنُ مَسْعُودٍ وَالْعَبَّاسُ وَابْنُهُ وَطَلْحَةُ وَالزُّبَيْرُ وَمُعَاذٌ وَأُبَيٌّ وَغَيْرُهُمْ مِنَ الْمُهَاجِرِينَ وَالْأَنْصَارِ ، وَمَا رَدَّ عَلَيْهِ وَاحِدٌ مِنْهُمُ ، بَلْ سَاعَدُوهُ وَوَافَقُوهُ وَأَمَرُوا بِذَلِكَ

และรายงานโดย อะสัด บุตร อัมริน จากอบี ยูซูบ กล่าวว่า “ข้าพเจ้าถามอบูหะนีฟะอ เกี่ยวกับตะรอเวียะ และสิ่งที่ ท่านอุมัร ได้กระทำ แล้วท่านกล่าวว่า “ ละหมาดตะรอเวียะ เป็นสุนนะฮมุอักกะดะฮ โดยที่ท่านอุมัรไม่ได้กุเรื่องเท็จขึ้นมาจากตัวท่านเอง ท่านไม่ได้เป็นผู้อุตริ(ผู้ทำบิดอะฮ)ในเรื่องนั้น และท่านไม่ได้ใช้ให้กระทำ นอกจากมี หลักฐาน ณ ที่ท่าน และ เป็นคำสั่งจากท่านรซูลลุลลอฮ ศ็อลลอ็ลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และแท้จริงท่านอุมัร ได้ทำแบบอย่างนี้ขึ้นมา โดยรวมผู้คน ให้ละหมาดภายใต้การเป็นอิหม่ามของท่านกะอับ แล้วได้ทำการละหมาดนั้น(ละหมาดตะรอเวียะ) ในรูปของการละหมาดญะมาอะฮ โดยที่บรรดาเศาะหาบะฮจำนวนมากมาย จากชาวมุฮาญิรีนและชาวอันศอรฺ และไม่มีคนใดจากพวกเขาคัดค้านท่าน(อุมัร)เลย ตรงกันข้าม พวกเขากลับสนับสนุนท่าน พวกเขาเห็นฟ้องกับท่านและ พวกเขาใช้ให้กระทำเรื่องดังกล่าว

- ดู อัลอิคติยารอต ลิตะอฺลีลิลมุคตัร ของอัลมูศิลีย์ อัลหะนะฟีย์ เล่ม 1 หน้า 94
............

สิ่งที่เป็นมติเห็นฟ้องของเหล่าเศาะหาบะฮ มันจะเป็นบิดอะฮได้อย่างไร
5. สุนนะฮของเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน ไม่ใช่บิดอะฮ แต่เป็นสุนนะฮที่นบี ศอลฯ สอนให้ปฏิบัติตาม
ดังหะดิษ

ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมเองที่กล่าวว่า
..
مَنْ يَعِشْ مِنْكُمْ فَسَيَرَى اخْتِلاَفاً كَثِيْرًا فعَلَيْكُمْ بِسُنَّتِىْ وَسُنَّةِ الْخُلَفَاءِ الرَّاشِدِيْنَ الْمَهْدِيِّيْنَ مِنْ بَعْدِىْ عَضُّوْا عَلَيْهَا بِالنَّوَاجِذِ ....
“พวกท่านคนใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ต่อไปเขาก็จะได้เห็นความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างมากมาย ดังนั้น หน้าที่ของพวกท่านก็คือ การปฏิบัติตามซุนนะฮ์ของฉัน, และซุนนะฮ์ของคอลีฟะฮ์ผู้ปราดเปรื่องและทรงคุณธรรมหลังจากฉัน, จงกัดมัน (ซุนนะฮ์ของฉันและซุนนะฮ์ของคอลีฟะฮ์ของฉัน) ให้แน่นด้วยฟันกราม ..... ”
..................................
จากรายละเอียดข้างต้น แสดงให้เห็นว่า การอ้างว่า เคาะลิฟะฮอุมัรทำบิดอะฮที่ดี เพื่อหาความชอบทำในการอุตริบิดอะฮนั้นเป็นการอ้างที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2559

อะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮในทัศนะปราชญ์ยุคสะลัฟ


อะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮในทัศนะปราชญ์ยุคสะลัฟ

อัลลามะฮ อัลบัรบะฮารีย์ (ฮ.ศ 329) กล่าวว่า

والسنة ما سنه رسول الله صلى الله عليه وسلم والجماعة ما اجتمع عليه أصحاب رسول الله صلى الله عليه وسلم في خلافة أبي بكر وعمر وعثمان .

และสุนนะฮคือ สิ่งที่รซูลุลลอฮ ศอ็ลฯได้กำหนดมันเอาไว้ให้เป็นแนวทาง และอัลญะมาอะฮคือ สิ่ง(แนวทาง)ที่บรรดาสาวกของรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ในยุคเคาะลิฟะฮ อบีบักร์, อุมัร และอุษมาน ได้ลงมติอยู่บนมัน
[شرح السنة الحسن البربهاري ج1/ص45 ]

รักอัลลอฮ ต้องอยู่บนแนวทางของนบีมุหัมหมัด


รักอัลลอฮ ต้องอยู่บนแนวทางของนบีมุหัมหมัด

การที่เรานับถือศาสนา โดยมีเป้าสูงสุดในชีวิต คือ ความโปรดปรานจากอัลลอฮ ในโลกนี้และโลกหน้า เราไม่ได้นับถือศาสนาเพื่อตามอารมณ์ตนเอง หรือ อารมณ์ของความหลากหลายของคนในดุนยา หรือ เพื่อพวกฟ้องและมัซฮับ เพราะฉะนั้น การแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮ นั้น เราต้องพยายามแสวงหาแนวทางที่จะทำให้ใกล้ชิดต่อพระองค์ นั้น คือ การปฏิบัติตามสิ่งใดก็ตามที่เป็นสุนนะฮของท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม

قُلْ إِنْ كُنْتُمْ تُحِبُّونَ اللَّهَ فَاتَّبِعُونِي يُحْبِبْكُمُ اللَّهُ وَيَغْفِرْ لَكُمْ ذُنُوبَكُمْ وَاللَّهُ غَفُورٌ رَحِيمٌ

จงประกาศเถิด(โอ้มุหัมหมัด) ว่า “หากพวกท่านรักอัลลอฮ จงปฏิบัติตามฉัน อัลลอฮก็จะรักพวกท่านและอภัยความผิดของพวกท่าน ให้แก่พวกท่าน และอัลลอฮ คือ ผู้ทรงอภัยและเมตตายิ่ง – อาลิอิมรอน/31
ท่านอิบนุกะษีร อธิบายว่า

هَذِهِ الْآيَةُ الْكَرِيمَةُ حَاكِمَةٌ عَلَى كُلِّ مَنِ ادَّعَى مَحَبَّةَ اللَّهِ ، وَلَيْسَ هُوَ عَلَى الطَّرِيقَةِ الْمُحَمَّدِيَّةِ فَإِنَّهُ كَاذِبٌ فِي دَعْوَاهُ فِي نَفْسِ الْأَمْرِ ، حَتَّى يَتَّبِعَ الشَّرْعَ الْمُحَمَّدِيَّ وَالدِّينَ النَّبَوِيَّ فِي جَمِيعِ أَقْوَالِهِ وَأَحْوَالِهِ ، كَمَا ثَبَتَ فِي الصَّحِيحِ عَنْ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنَّهُ قَالَ : " مَنْ عَمِلَ عَمَلًا لَيْسَ عَلَيْهِ أَمْرُنَا فَهُوَ رَدٌّ

อายะฮอันทรงเกียรตินี้ คือ ผู้ตัดสิน (เอาผิด)บน ทุกๆคน ที่อ้างว่ารักอัลลอฮ โดยที่เขาไม่ได้อยู่บนแนวทางของมุหัมหมัด ,ในความเป็นจริง เขาคือ ผู้กล่าวเท็จในการอ้างของเขา จนกว่า เขาจะเจริญรอยตามบัญญัติแห่งมุหัมหมัด และศาสนาแห่งนบี ในบรรดาคำพูดและการกระทำของเขาทั้งหมด ดังหะดิษที่ยืนยันไว้ในอัศเศาะเฮียะ จากท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ผู้ใดประกอบการงาน(อะมั้ลอิบาดะฉ)ใด ที่ไม่ใช่กิจการของเราบนมัน มันถูกปฏิเสธ”
- ดู ตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม 2 หน้า 33
والله أعلم بالصواب

บิดอะฮเกี่ยวกับศาสนบัญญัติ คือ การหลงผิด


บิดอะฮเกี่ยวกับศาสนบัญญัติ คือ การหลงผิด

อิบนุหะญัร อัลหัยตะมีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า

فَإِن الْبِدْعَة الشَّرْعِيَّة ضَلَالَة كَمَا قَالَ – صلى الله عليه وسلم – وَمن قسمهَا من الْعلمَاء إِلَى حسن وَغير حسن فَإِنَّمَا قسم الْبِدْعَة اللُّغَوِيَّة وَمن قَالَ كل بِدعَة ضَلَالَة فَمَعْنَاه الْبِدْعَة الشَّرْعِيَّة

เพราะแท้จริง บิดอะฮเกี่ยวกับศาสนบัญญัตินั้น คือ การหลงผิด ดังสิ่งที่นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวไว้ และ ผู้ใดก็ตามจากบรรดาอุลามาอฺ ได้แบ่งมัน เป็น บิดอะฮที่ดี และ บิดอะฮที่ไม่ดี นั้น ความจริง เขาแบ่งบิดอะฮ เกี่ยวกับด้านภาษา และผู้ใดกล่าวว่า “ทุกๆบิดอะฮ คือการหลงผิด ความหมายของมันคือ บิดอะฮ เกี่ยวกับศาสนบัญญัติ- ดูฟะตาวาอัลหะดีษียะฮ 1/655
สรุปคือ
1. บิดอะฮเกี่ยวกับศาสนบัญญัตินั้นหลงผิด ดังที่นบี ศอ็ลฯกล่าวไว้คือ
كل بدعة ضلالة
ทุกบิดอะฮคือการหลงผิด
2. สำหรับบรรดาอุลาลามาอฺ ที่แบ่งเป็น บิดอะฮที่ดี และ บิดอะฮที่ไม่ดีนั้น หมายถึง บิดอะฮเกี่ยวกับความหมายทางภาษา 
3. ผู้ที่กล่าวว่า ทุกบิดอะฮคือการหลงผิดนั้น ความหมายของมันคือ บิดอะฮ เกี่ยวกับศาสนบัญญัติ
والله أعلم بالصواب

เงื่อนไขของคำปฏิญานว่า لا إله إلا الله


เงื่อนไขของคำปฏิญานว่า لا إله إلا الله

وَقِيلَ لِوَهْبِ بْنِ مُنَبِّهٍ أَلَيْسَ لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ مِفْتَاحُ الْجَنَّةِ قَالَ بَلَى وَلَكِنْ لَيْسَ مِفْتَاحٌ إِلَّا لَهُ أَسْنَانٌ فَإِنْ جِئْتَ بِمِفْتَاحٍ لَهُ أَسْنَانٌ فُتِحَ لَكَ وَإِلَّا لَمْ يُفْتَحْ لَكَ

และมีผู้กล่าวแก่วะฮบฺ อิบนิ มุนับบิฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ ว่า : การกล่าว ปฏิญาณว่า ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ (ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ถูกสักการะที่แท้จริง นอกจากอัลลอฮฺ)นั้น มิใช่เป็นกุญแจไขไปสู่สวรรค์ดอกหรือ ? ท่านวะฮับฺ กล่าวว่า : ใช่ แต่ทว่า หากท่านนำกุญแจที่มีฟันมา สวรรค์ก็จะเปิดให้กับท่าน กุญแจนั้นต้องมีฟัน ท่านจึงจะไขได้ มิเช่นนั้นแล้วประตูสวรรค์จะไม่เปิดให้ท่านได้เข้าไป ท่านจะไขกุญแจไม่ได้ -(บันทึกโดยิมามอัลบุคอรียฺ)

เงื่อนไขของคำปฏิญานว่า لا إله إلا الله คือ

1- العلم بمعناها نفياً وإثباتاً المنافي للجهل . รู้ความหมายของมัน ทั้งที่ให้ปฏิเสธและที่ให้ยืนยัน ที่ปฏิเสธการไม่รู้

2- اليقين المنافي للشك والريب . แน่ใจ ที่ปฏิเสธการสงสัยและกลุมเครือ

3- الإخلاص المنافي للشرك والرياء . บริสุทธิ์ใจ ที่ปฏิเสธการตั้งภาคีและการโอ้อวด

4- الصدق المنافي للكذب . ความสัตย์จริง ที่ปฏิเสธการโกหกมดเท็จ

5- المحبة المنافية للبغض والكره . ความรัก(ในคำปฏิญานนี้) ที่ปฏิเสธการเกลียดชังและการรังเกียจ

6- الانقياد المنافي للترك. การยอมสยบจำนนโดยสมบูรณ์ ที่ปฏิเสธการละทิ้ง

7- القبول المنافي للرد การยอมรับ ที่เป็นเสธ การไม่ยอมรับ
สรุป
การกล่าวคำปฏิญานว่า لا إله إلا الله แต่เพียงลมปาก แต่ไม่ปฏิบัติในสิ่งที่เป็นเงื่อนไขของคำนี้ เปรียบเสมือนมีลูกกุญแจที่ไม่มีฟัน ซึ่งไม่อาจจะนำไปสู่การเปิดประตูแห่งสวรรค์ได้
والله أعلم بالصواب

มุมมองของปราชญ์ในสิ่งที่ชาวสะลัฟไม่ปฏิบัติ


มุมมองของปราชญ์ในสิ่งที่ชาวสะลัฟไม่ปฏิบัติ

อิบนุเราะญับ (ร.ฮ) ปราชญ์มัซฮับ หัมบะลีกล่าวว่า

فأما ما اتفق السلف على تركه فلا يجوز العمل به لأنهم ما تركوه إلا على علم أنه لا يعمل

แล้วสำหรับ สิ่งที่ชาวสะลัฟ เห็นฟ้องกันบนการให้ละทิ้ง ก็ไม่อนุญาตให้ปฏิบัติด้วยมัน เพราะแท้จริง พวกเขาจะไม่ทิ้ง(หมายถึงจะไม่ปฏิบัติ) มัน นอกจาก บนการรู้ว่า มันไมถูกปฏิบัติ –
كتاب فضل علم السلف على الخلف ص 32

หมายความว่า บรรดาสิ่งที่บรรดาชนยุคสะลัฟไม่มีใครปฏิบัติเลย ก็ไม่อนุญาตให้ปฏิบัติ เพราะพวกเขาจะไม่ละทิ้งการปฏิบัติสิ่งใด นอกจากรู้ว่า สิ่งนั้น นบี ศอ็ลฯ ไม่ได้ปฏิบัติ

บิดอะฮในทางศาสนบัญญัติ


บิดอะฮในทางศาสนบัญญัติ

สิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้ศึกษาอิสลาม คือจะต้องแยกให้ออก ระหว่างบิดอะฮในทางภาษา กับ บิดอะฮในทางศาสนบัญญัติ
เพราะบิดอะฮในทางศาสนบัญญัตินั้น ถูกตำหนิและเป็นการหลงผิด ดังหะดิษ
ท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า :

;وإياكم ومحدثات الأمور، فإن كل محدثة بدعة، وكل بدعة ضلالة

ความว่า : “และพวกเจ้าจงระวังสิ่งใหม่ในศาสนา เพราะว่าทุกๆ บิดอะฮฺนั้นคือความหลงผิด” (รายงานโดย อะบู ดาวูด : 4607 และอัต-ติรมิซีย์ : 2676)
และอีกคำกล่าวหนึ่งของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ที่ว่า :

;من أحدث في أمرنا هذا ما ليس منه فهو رد [ رواه البخاري:167 ]

ความว่า : บุคคลใดก็ตามที่ กระทำสิ่งใหม่ขึ้นในการงานของเรา(ศาสนา) ซึ่งไม่มีหลักฐานจากศาสนานั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกตอบรับ (ณ ที่อัลลอฮฺ) (รายงานโดย อัล-บุคอรีย์ : 167
อิหม่ามอัลกุรฏุบีย์กล่าวว่า

وكل بدعة ضلالة يريد ما لم يوافق كتابا أو سنة أو عمل الصحابة رضي الله

ทุกบิดอะฮ คือการหลงผิด หมายถึง สิ่งที่ไม่สอดคล้องกับ อัลกุรอ่าน ,สุนนะฮ และการกระทำของเหล่าเศาะหาบะฮ (ร.ฏ)
كتاب تفسير القرطبي 2 / 87 طبعة دار الشعب لعام 1372هـ
เพราะฉะนั้น คนบางส่วน เวลามีคนห้ามเรื่องบิดอะฮ เขาก็จะย้อนถามว่า “ทำไมไม่ขี่อูฐ “ ทั้งนี้ก็เพราะไม่รู้จักแยกแยะเรื่องบิดอะฮ และไม่เข้าใจ

บิดอะฮในทางภาษา


บิดอะฮในทางภาษา

บิดอะฮในเชิงภาษาคือ

الشيء المخترع على غير مثال سابق،

สิ่งที่ถูกประดิษฐขึ้นมาใหม่ โดยไม่มีแบบอย่างมาก่อน
ดังในคำดำรัสของพระองค์อัลลอฮฺที่ว่า :

﴿بَدِيعُ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضِِۖ ﴾ [البقرة: 117]

ความว่า "พระองค์อัลลอฮฺ คือผู้ที่ประดิษฐ์บรรดาชั้นฟ้าและพื้นแผ่นดิน” (อัล-บากอเราะฮฺ 117 )
หมายถึง พระองค์อัลลอฮฺได้สร้างมันขึ้นมา โดยที่ไม่มีตัวอย่างมาก่อน(คือไม่มีการสร้างมาก่อน พระองค์คือผู้ที่แรกเริ่ม)
พระองค์ตรัสอีกว่า

﴿قُلْ مَا كُنتُ بِدْعًا مِّنَ الرُّسُلِ﴾ [الأحقاف: 9]

ความว่า : จงกล่าวเถิดมุหัมมัด ฉันไม่ใช่บุคคลแรกจากบรรดาศาสนทูต" (อัล-อะหฺ

กอฟ 9)
หมายถึง : ฉันไม่ใช่ผู้แรกที่นำสารจากพระผู้เป็นเจ้าสู่มวลมนุษย์ แต่มีบรรดาศาสนทูตมากมายก่อนหน้าฉันเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นการประดิษฐสิ่งใดขึ้นมาใหม่ในทางภาษาซึ่งหมายถึง ในทางดุนยา ถ้าสิ่งที่ถูกประดิษฐขึ้นมา แล้วให้โทษ ก็เป็นบิดอะฮที่เลวหรือถูกตำหนิ ถ้าสิ่งนั้นดีมี ประโยชน์ ไม่มีโทษ ก็เป็นบิดอะฮที่ดี หรือบิดอะฮที่ถูกชมเชย
ดังที่ท่านอิบนุอับดิลบัร(ร.ฎ)ได้ชี้แจงชัดเจนว่า

وَأَمَّا ابْتِدَاعُ الْأَشْيَاءِ مِنْ أَعْمَالِ الدُّنْيَا فَهَذَا لَا حَرَجَ فِيهِ وَلَا عَيْبَ عَلَى فَاعِلِهِ

สำหรับ การประดิษฐสิ่งต่างๆ ขึ้นมาใหม่ ที่เกี่ยวกับบรรดาการกระทำ ทางดุนยา(หรือทางโลก)นั้น ไม่มีความผิดใดๆ ในมัน และไม่มีการตำหนิใดๆแก่ผู้ที่กระทำมัน - ดู อัลอิสติซกาซ เล่ม 2 หน้า 67
والله أعلم بالصواب

บรรดาผู้รู้ที่ชั่วร้ายเป็นอย่างไร


บรรดาผู้รู้ที่ชั่วร้ายเป็นอย่างไร

อิบนุกอ็ยยิม (ร.ฮ) กล่าวว่า

عُلَمَاءُ السُّوءِ جَلَسُوْا عَلَى بَابِ الْجَنَّةِ. يَدْعُوْنَ إِلَيْهَا النَّاسَ بِأَقْوَالِهِمْ وَيَدْعُوْنَهُمْ إِلَى النَّارِ بِأَفْعَالِهِمْ. فَكُلَّمَا قَالَتْ أَقْوَالُهُمْ لِلنَّاسِ هَلُمُّوْا, قَالَتْ أَفْعَالُهُمْ: لاَ تَسْمَعُوْا مِنْهُمْ. فَلَوْ كَانَ مَا دَعُوْا إِلَيْهِ حَقًّا كَانُوْا أَوَّلَ الْمُسْتَجِيْبِيْنَ لَهُ. فَهُمْ فِي الصُّوْرَةِ أَدِلاَّءُ وَفِي الْحَقِيْقَةِ قُطَّاعُ الطُّرُقِ

บรรดาผู้รู้ที่ชั่วร้าย พวกเขานั่งอยู่ที่ ประตูสวรรค์ เรียกร้องเชิญชวนบรรดาผู้คน ไปสู่สวรรค์ ด้วยบรรดาคำพูดของพวกเขา และในขณะเดียวกัน พวกเขาเรียกร้องเชิญชวนบรรดาผู้คน ไปสู่นรก ด้วยบรรดาการกระทำของพวกเขา ทุกครั้งทีบรรดาคำพูดของพวกเขากล่าวแก่บรรดาผู้คนว่า “ พวกท่านจงมานี่เถิด” บรรดาการกระทำของพวกเขา ก็จะกล่าวว่า “พวกท่านอย่าไปฟัง (คำเชิญชวน)จากพวกพวกเขา ดังนั้น ถ้าปรากฏว่า สิ่งที่พวกเขาเชิญชวน ไปสู่มันนั้น คือ ความถูกต้อง พวกเขาก็จะเป็นคนแรกที่ตอบรับมัน เพราะพวกเขาอยู่ในรูปของ ผู้นำทาง(มักคุเทศน์) และในความเป็นจริง (พวกเขาคือ) “โจรปล้นบนหนทาง” – อัลฟะวาอิด ของอิบนุกอ็ยยิม หน้า 94 ดารอัลอะเราะบีย์ เบรุต
สรุป
ผู้รู้ที่ชั่วร้ายคือ คนที่สอนคนอื่นให้ทำสิ่งที่ดี แต่พฤติกรรมหรือการกระทำ กลับไม่ปฏิบัติตาม ผู้รู้เหล่านี้ หน้าฉากคือ มักคุเทศน์นำทาง แต่ความจริง พวกเขาคือ โจรที่ปล้นประชาชน บนหนทาง
والله أعلم بالصواب

ความหมายของการปฎิญานว่า มุหัมหมัดคือศาสนทูตของอัลลอฮ


ความหมายของการปฎิญานว่า มุหัมหมัดคือศาสนทูตของอัลลอฮ

معنى شهادة أن محمداً رسول الله: طاعته فيما أمر, وتصديقه فيما أخبر, واجتناب ما نهى عنه وزجر، وأن لا يعبد الله إلا بما شرع
ความหมายของการปฏิญานว่า มุหัมหมัดคือ ศาสนทูตของอัลลอฮ ได้แก่
๑. เชื่อฟังปฏิบัติตามในสิ่งที่ท่านรอซูลสั่ง
๒. เชื่อในสิ่งที่ท่านรอซูลบอก
๓. ห่างใกลจากสิ่งที่ท่านรอซูลห้ามและเตื่อนให้ระวัง
๔. เขาจะไม่อิบาดะฮต่ออัลลอฮ นอกจากด้วยสิ่งที่พระองค์บัญญัติ(แก่รอซูล)
- อัลอุศูลอัษษะลาษะฮ ของ เช็คมุหัมหมัด บิน อับดุลวะฮาบ หน้า ๙
والله أعلم بالصواب

คนหมู่มากนั้นคืออะไร


คนหมู่มากนั้นคืออะไร

อัลหากิม ได้รายงานหะดิษสำนวนต่อไปนี้ใน อัลมุสตัดรอ็ก เล่ม 1 หน้า 115 คือ

عن ابن عمر ، قال : قال رسول الله صلّى الله عليه و آله و سلّم لا يجمع الله هذه الأمّة على الضلالة أبداً ، وقال : يدالله على الجماعة ، فاتّبعوا السواد الأعظم ، فإنّه من شذّ شذّ في النّار

รายงานจากอิบนุอุมัร กล่าวว่า ท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ อัลลอฮ จะไม่ทรงรวมประชาชาตินี้ ให้อยู่บนการหลงผิด ตลอดไป และท่านได้กล่าวว่า “ มือของอัลลอฮ อยู่บนหมู่คณะ ดังนั้น พวกท่านจง ปฏิบัติตามคนส่วนใหญ่เถิด เพราะแท้จริง ผู้ใดแปลกแยก(จากหมู่คณะ) เขาก็แปลกแยกในนรก”

วิจารณ์หะดิษข้างต้น

หะดิษนี้ท่านอัลหากิมเองระบุว่า มีข้อขัดแย้งกันในสายรายงาน ดู อัลมุสตัดรอ็ก เล่ม 1 หน้า 115 และ อิบนุ มุอีน กล่าวว่า หะดิษนี้เอามาเป็นหลักฐานไม่ได้ – ดู มีซาลเอียะติดาล เล่ม 3 หน้า 143 หะดิษหมายเลข 8648 และอัลบานีย์ระบุว่า

لم أجده في شيءٍ من كتب السُنّة المعروفة

ข้าพเจ้าไม่พบมันเลย จากบรรดาหนังสือสุนนะฮที่เป็นที่รู้จักกัน - ดู มิชกาตอัลมะศอเบียะ 1/62

คำว่า “ คนส่วนใหญ่” (السواد الأعظم) ในหะดิษข้างต้น นักวิชาการได้ให้ความหมายดังต่อไปนี้

1.1 อิสหาก บิน รอฮะวียะฮ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) กล่าวว่า

لو سألت الجهال عن السواد الأعظم لقالوا جماعة الناس، ولا يعلمون أن الجماعة عالم متمسك بأثر النبي صلى الله عليه وسلم وطريقه فمن كان معه وتبعه فهو الجماعة

ถ้าท่านถามพวกโง่เขลา เกี่ยวกับคำว่า “อัสสะวาดุลอะอฺซ็อม” พวกเขาก็จะตอบว่า “คือ หมู่คณะของผู้คนทั่วไป” โดยที่พวกเขาไม่รู้ว่า อัลญะมาอะฮ(หมู่คณะ)นั้นคือ ผู้รู้ที่ยึดมั่นในร่องรอย(สุนนะฮ)ของท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และแนวทางของท่าน ดังนัน ผู้ใด อยู่พร้อมกับเขาและเจริญรอยตามเขา เขาก็คือ อัลญะมาอะฮ” - รายงานโดยอบูนะอีม ใน อัลหุลลียะฮ เล่ม 9 หน้า 239

1.2 อิบนุกอ็ยยิม(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) กล่าวว่า

واعلم أن الإجماع والحجة والسواد الأعظم هو العالم صاحب الحق , وإن كان وحده وإن خالفه أهل الأرض

และโปรดทราบไว้เถิดว่า “ แท้จริง อัลอิจญมาอฺ (มติเอกฉันท์)อัลหุจญะฮ(หลักฐาน)และ อัสสะวาดุลอะฮซอม(คนส่วนใหญ่)นั้นคือ ผู้รู้ที่เป็นผู้รู้ที่อยู่บนความถูกต้อง แม้ว่า เขาจะมีคนเดียวก็ตาม และแม้ว่า ชาวโลกทั้งหลายจะแตกต่างจากเขาก็ตาม” – อะลามุลมุวักกิอีน เล่ม 3 หน้า 398

والله أعلم بالصواب

อัลญะมาอะฮคืออะไร


อัลญะมาอะฮคืออะไร

เช็คอับดุลกอเดรฺ อัลญัยลานีย์ กล่าวว่า

وَالْـجَمَاعَةُ مَا اتَّفَقَ عَلَيْهِ أَصْحَابُ رَسُولِ اللهِ فىِ خِلَافَةِ الْأَئِمَّةِ الْأَرْبَعَةِ الْـخُلَفَاءِ الرَّاشِدِيْنَ الْمَهْدِيِّيْنَ رَحْمَةُ اللهِ عَلَيْهِمْ أَجْمَعِيْنَ

และอัลญะมาอะฮคือ สิ่งที่ บรรดาสาวก(เศาะหาบะฮ)รซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ในยุคเคาะลิฟะฮ ผู้ที่นำทางที่ถูกต้องและอยู่ในทางนำ (ร.ฮ)ทั้งสี่ท่านได้เห็นฟ้องกันบนมัน –อัลฆุนยะฮ ลิ ฏอลีบี เฏาะรีกิลหัก ๑/๘๐
คำว่า “ญะมาอะฮ จึงหมายถึงหมู่คณะที่ยืนหยัดอยู่บนคำสอนหรือแนวทางที่ บรรดาเศาะหาบะฮรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ในสมัยเคาะลิฟะฮทั้งสี่เห็นฟ้องกันบนแนวทางนั้น
อัลญะมาอะฮ จึง ไม่ได้หมายถึง คนหมู่มากเสมอไป แต่หมายถึงหมู่คณะที่อยู่บนความถูกต้อง หรือแม้แต่คนๆเดียวก็ตาม
ท่านอับดุลลอฮ บิน มัสอูด กล่าวว่า

الجماعة ما وافق الحق؛ ولو كنت وحدك"

อัลญะมาอะฮคือ สิ่งที่สอดคล้องกับความจริง (ความถูกต้อง) และแท้ท่านจะกลายเป็นคนโดดเดี่ยวก็ตาม-
رواه اللالكائي في شرح أصول اعتقاد أهل السنة والجماعة:1/122- رقم160، وصحح سنده الشيخ الألباني كما في تعليقه على مشكاة المصابيح: 1/61، ورواه الترمذي في سننه:4/467).
والله أعلم بالصواب

.............................................................

มีพี่น้องมุสลิมบางคน หรือบางกลุ่ม มักจะอ้างเอาคนส่วนใหญ่ มาเป็นมาตรฐาน ในการวัดความถูกต้อง โดยอาศัยหะดิษข้างล่างนี้เป็นหลักฐาน คือ
หะดิษจากท่านอะนัส บิน มาลิก ว่าได้ยินท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

إنّ أمّتي لا تجتمع على الضلالة ، فإذا رأيتم اختلافاً فعليكم بالسواد الأعظم

"แท้จริง ประชาชาติของฉันจะไม่ร่วมกันอยู่บนการหลงผิด แล้วเมื่อพวกท่านเห็นการขัดแย้งกัน พวกท่านก็จงยึดถือตามคนส่วนใหญ่"

วิจารณ์ หะดิษข้างต้น

1. รายงานโดยอิบนิมาญะฮ 2/1303 หะดิษหมายเลข 3950 โดยในสายรายงาน มีผู้รายงานคนหนึ่ง คือ อบูคอ็ลฟุลอะอฺมา(أبوخلف الأعمى )โดยมีชื่อจริงว่า “หาซิม บิน อะฏอ ,เกี่ยวกับบุคคลผู้นี้ท่านอัซซะฮะบีย์ได้วิจารณ์ว่า

يروي عن أنس بن مالك ، كذّبه يحيى بن معين ، وقال أبوحاتم : منكر الحديث

เขารายงานจากอะนัส บิน มาลิก โดยที่ ยะหยา บิน มุอีน ได้กล่าวว่า เขาโกหก และอบูหาติม กล่าวว่า “หะดิษถูกปฏิเสธ “(มุงกะรุลหะดีษ) - ดู มีซาลเอียะติดาล เล่ม 4 หน้า 521 หะดิษหมายเลข 10156 เช็คอัลบานีย์ กล่าวว่า เป็นหะดิษ เฎาะอีฟเป็นอย่างมาก(เฎาะอีฟญิดดัน) – ดู เฎาะอีฟอิบนุมาญะฮ หน้า 318 หะดิษหมายเลข 3940


عن أَنَس بْن مَالِكٍ قال سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ:[إِنَّ أُمَّتِي لَا تَجْتَمِعُ عَلَى ضَلَالَةٍ فَإِذَا رَأَيْتُمْ اخْتِلَافًا فَعَلَيْكُمْ بِالسَّوَادِ الْأَعْظَمِ]رواه ابن ماجة(رقم3950). وقال الألباني في ضعيف ابن ماجة: ـ ضعيف جدا - دون الجملة الأولى فهى صحيحة - , المشكاة ( 173 - 174 ) , الضعيفة ( 2896 ) , صحيح الجامع ( 1848 )
อัลบานีย์ ได้ระบุในเฎาะอีฟอิบนิมาญะฮว่า “เฎาะอีฟเป็นอย่างมาก นอกจาก ส่วนแรกของหะดิษนั้น เศาะเฮียะ หมายถึงในสำนวนส่วนที่ว่า
إِنَّ أُمَّتِي لَا تَجْتَمِعُ عَلَى ضَلَالَةٍ

คำว่า “ คนส่วนใหญ่” (السواد الأعظم) ในหะดิษข้างต้น นักวิชาการได้ให้ความหมายดังต่อไปนี้

1.1 อิสหาก บิน รอฮะวียะฮ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) กล่าวว่า

لو سألت الجهال عن السواد الأعظم لقالوا جماعة الناس، ولا يعلمون أن الجماعة عالم متمسك بأثر النبي صلى الله عليه وسلم وطريقه فمن كان معه وتبعه فهو الجماعة

ถ้าท่านถามพวกโง่เขลา เกี่ยวกับคำว่า “อัสสะวาดุลอะอฺซ็อม” พวกเขาก็จะตอบว่า “คือ หมู่คณะของผู้คนทั่วไป” โดยที่พวกเขาไม่รู้ว่า อัลญะมาอะฮ(หมู่คณะ)นั้นคือ ผู้รู้ที่ยึดมั่นในร่องรอย(สุนนะฮ)ของท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และแนวทางของท่าน ดังนัน ผู้ใด อยู่พร้อมกับเขาและเจริญรอยตามเขา เขาก็คือ อัลญะมาอะฮ” - รายงานโดยอบูนะอีม ใน อัลหุลลียะฮ เล่ม 9 หน้า 239
1.2 อิบนุกอ็ยยิม(ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน) กล่าวว่า

واعلم أن الإجماع والحجة والسواد الأعظم هو العالم صاحب الحق , وإن كان وحده وإن خالفه أهل الأرض

และโปรดทราบไว้เถิดว่า “ แท้จริง อัลอิจญมาอฺ (มติเอกฉันท์)อัลหุจญะฮ(หลักฐาน)และ อัสสะวาดุลอะฮซอม(คนส่วนใหญ่)นั้นคือ ผู้รู้ที่อยู่บนความถูกต้อง แม้ว่า เขาจะมีคนเดียวก็ตาม และแม้ว่า ชาวโลกทั้งหลายจะแตกต่างจากเขาก็ตาม” – อะลามุลมุวักกิอีน เล่ม 3 หน้า 398
.................................................









ท่านคิดหรือว่าจะได้เข้าสวรรค์โดยไม่ผ่านการทดสอบ


ท่านคิดหรือว่าจะได้เข้าสวรรค์โดยไม่ผ่านการทดสอบ

อัลลอฮตาอาลา ตรัสว่า

أَمْ حَسِبْتُمْ أَن تَدْخُلُوا الْجَنَّةَ وَلَمَّا يَأْتِكُم مَّثَلُ الَّذِينَ خَلَوْا مِن قَبْلِكُم ۖ مَّسَّتْهُمُ الْبَأْسَاءُ وَالضَّرَّاءُ وَزُلْزِلُوا حَتَّىٰ يَقُولَ الرَّسُولُ وَالَّذِينَ آمَنُوا مَعَهُ مَتَىٰ نَصْرُ اللَّهِ ۗ أَلَا إِنَّ نَصْرَ اللَّهِ قَرِيبٌ

หรือพวกเจ้าคิดว่า พวกเจ้าจะได้เข้าสวรรค์ โดยเยี่ยงอย่างของผู้ล่วงลับไปก่อนพวกเจ้า ยังมิได้มายังพวกเจ้าเลย ซึ่งบรรดาความลำบากและความเดือดร้อนได้ประสบแก่พวกเขา และพวกเขาได้รับความหวั่นไหว จนกระทั่งร่อซูลและบรรดาผู้ศรัทธา ซึ่งอยู่กับเขา กล่าวขึ้นว่า เมื่อไรเล่าการช่วยเหลือของอัลลอฮ์? พึงรู้เภิดว่าแท้จริงการช่วยเหลือของอัลลอฮ์ใกล้อยู่แล้ว- อัลบะเกาะเราะฮ : 214

บรรดาอุมมะฮยุคก่อนถูกทดสอบอย่างแสนสาหัส แล้วพวกท่านคิดว่าจะได้เข้าสวรรคหรือ ทั้งๆที่ยังไม่ได้รับการทดสอบ จากอัลลอฮว่า มีความอดทนต่อการการทดสอบและยืนหยัดบนสัจธรรม อย่างแท้จริง

والله أعلم بالصواب

งื่อนไขอิบาดะฮที่ถูกรับรอง

เงื่อนไขอิบาดะฮที่ถูกรับรอง

อิบนุกอ็ยยิม(ร.ฮ) ได้ระบุว่า

قَالَ الْفُضَيْلُ بْنُ عِيَاضٍ : الْعَمَلُ الْحَسَنُ هُوَ أَخْلَصُهُ وَأَصْوَبُهُ ، قَالُوا : يَا أَبَا عَلِيٍّ مَا أَخْلَصُهُ وَأَصْوَبُهُ ؟ قَالَ : إِنَّ الْعَمَلَ إِذَا كَانَ خَالِصًا وَلَمْ يَكُنْ صَوَابًا لَمْ يُقْبَلْ ، وَإِذَا كَانَ صَوَابًا ، وَلَمْ يَكُنْ خَالِصًا لَمْ يُقْبَلْ ، حَتَّى يَكُونَ خَالِصًا صَوَابًا ، وَالْخَالِصُ : مَا كَانَ لِلَّهِ ، وَالصَّوَابُ : مَا كَانَ عَلَى السُّنَّةِ ، وَهَذَا هُوَ الْمَذْكُورُ فِي قَوْلِهِ تَعَالَى فَمَنْ كَانَ يَرْجُو لِقَاءَ رَبِّهِ فَلْيَعْمَلْ عَمَلًا صَالِحًا وَلَا يُشْرِكْ بِعِبَادَةِ رَبِّهِ أَحَدًا وَفِي قَوْلِهِ وَمَنْ أَحْسَنُ دِينًا مِمَّنْ أَسْلَمَ وَجْهَهُ لِلَّهِ وَهُوَ مُحْسِنٌ فَلَا يَقْبَلُ اللَّهُ مِنَ الْعَمَلِ إِلَّا مَا كَانَ خَالِصًا لِوَجْهِهِ ، عَلَى مُتَابَعَةِ أَمْرِهِ ، وَمَا عَدَا ذَلِكَ فَهُوَ مَرْدُودٌ عَلَى عَامِلِهِ ، يُرَدُّ عَلَيْهِ أَحْوَجَ مَا هُوَ إِلَيْهِ هَبَاءً مَنْثُورًا ، وَفِي الصَّحِيحِ مِنْ حَدِيثِ عَائِشَةَ عَنِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ " كُلُّ عَمَلٍ لَيْسَ عَلَيْهِ أَمْرُنَا فَهُوَ رَدٌّ " وَكُلُّ عَمَلٍ بِلَا اقْتِدَاءٍ فَإِنَّهُ لَا يَزِيدُ عَامِلَهُ مِنَ اللَّهِ إِلَّا بُعْدًا ، فَإِنَّ اللَّهَ تَعَالَى إِنَّمَا يُعْبَدُ بِأَمْرِهِ ، لَا بِالْآرَاءِ وَالْأَهْوَاءِ .

อัลฟุฎัยลุ บิน อิยาฎ กล่าว เกี่ยวกับ "อะมั้ลที่ดี"ว่า คือ ความบริสุทธิ์ใจ และความถูกต้องของมัน ,พวกเขากล่าวว่า "โอ้อบูอาลี อะไรคือ ความบริสุทธิ์ใจ และความถูกต้องของมัน? เขากล่าวตอบว่า “ การงาน(อะมั้ล)นั้น เมื่อมีความบริสุทธิ์ใจ โดยปรากฏว่าไม่ถูกต้อง มันก็ไม่ถูกรับ และเมื่อปรากฏว่า ถูกต้อง โดยที่ไม่มีความบริสุทธิ์ใจ มันก็ไม่ถูกรับ จนกว่ามันจะบริสุทธิ์ใจและและถูกต้อง และบริสุทธิ์ใจนั้น คือ สิ่งที่กระทำเพื่ออัลลอฮ และความถูกต้องนั้นคือ สิ่งที่ตรงตามสุนนะฮ นี้คือ สิ่งที่ถูกระบุไว้ในคำตรัสของอัลลอฮที่ว่า “ผู้ใดหวังที่จะพบกับพระผู้อภิบาลของเขา เขาจงประกอบการงานที่ดี และจงอย่านำคนใดมาหุ้นส่วน กับการเคารพภักดี ต่อพระผู้อภิบาลของเขา “และผู้ใดเล่าจะมีศาสนาดียิ่งไปกว่าผู้ที่มอบใบหน้าของเขาให้แก่อัลลอฮฺ และขณะเดียวกันเขาก็เป็นผู้กระทำดี”

ดังนั้น อัลลอฮจะไม่ทรงรับ การงาน นอกจาก สิ่ง ที่บริสุทธิ์ใจเพื่อพระองค์ และปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ และอื่นจาก(เงื่อนไข)ดังกล่าวนั้น มันก็จะถูกตีกลับไปยังผู้กระทำ และมันสมควรจะถูกตีกลับไปบนเขาผู้นั้น ในสภาพที่เป็นฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย และในหะดิษเศาะเฮียะรายงานจากท่านหญิงอาอีฉะฮ จากท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
ทุกการงาน ที่ไม่ใช่กิจการศาสนาของเราอยู่บนมัน มันถูกปฏิเสธ และทุกการงานที่ไม่ปฏิบัติตาม ผู้กระทำจะไม่ได้รับการเพิ่มพูนจากอัลลอฮ นอกจากความห่างใกล แท้จรงอัลลอฮตะอาลานั้น จะถูกเคารพภักดี ด้วยคำสั่งของพระองค์ ไม่ใช่ด้วยความเห็นและด้วยการตามอารมณ์ – ดูมะดาริญุสสาลิกีน ของอิบนุกอ็ยยิม เล่ม 1 หน้า 105
สรุปเงื่อนไขอิบาดะฮที่ถูกรับรองคือ
1. บริสุทธิ์ใจเพื่ออัลลอฮ
2. ปฏิบัติถูกต้องตรงกับสุนนะฮนบี ศอ็ลฯ

والله أعلم بالصواب

ทรัพสมบัติที่ได้มาจากการพนัน


ทรัพสมบัติที่ได้มาจากการพนัน

ทรัพสมบัติที่ได้มาจากการพนันจนสามรถ สร้างฐานะจนร่ำรวย ไม่ทราบว่าเมื่อตายไปแล้วลูกซึ่งเป็นผู้รับมรดกจะรับได้หรือไม่อย่างไร

ตอบ

ذهب الجمهور من الحنفية والمالكية والشافعية والحنابلة ، وهو اختيار شيخ الإسلام إلى أن الموت لا يطيب المال الحرام ، بل الواجب فيه الرد على مالكه إن كان معروفا ، فإن لم يكن معروفا تصدق به على الفقراء والمساكين .

บรรดานักวิชาการส่วนใหญ่จากนักวิชาการมัซฮับหะนะฟียะฮ,มาลิกียะฮ,ชาฟีอียะฮ และหะนาบะละฮ และมันเป็นทัศนะที่ชัยคุยอิสลามได้เลือก คือ การตาย(ของเจ้าทรัพย์) ไม่ได้ทำให้ทรัพย์ที่หะรอม ดี(หะลาล)ขึ้นมาได้ ในทางกลับกัน ในนั้น จำเป็นจะต้องนำกลับคืนให้แก่เจ้าของ(เดิม)ของมัน หากปรากฏว่าเขาเป็นที่รู้จัก แล้วถ้าหากว่า เขา(เจ้าของทรัพย์ตัวจริงที่ถูกโกงมา)ไม่เป็นที่รู้จัก ก็ให้นำทรัพย์สินนั้น บริจาคแก่บรรดาคนอนาถาและคนยากจน – ดูที่มาข้างล่าง

"حاشية ابن عابدين" (5/104) - "المجموع" (9/428) – "إحياء علوم الدين" (2/210) – "الإنصاف" (8/323) - "الفتاوى الكبرى" (1/478)

เมื่อนอนหลับดวงวิญญานไปใหน


เมื่อนอนหลับดวงวิญญานไปใหน

อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า

اللَّهُ يَتَوَفَّى الْأَنْفُسَ حِينَ مَوْتِهَا وَالَّتِي لَمْ تَمُتْ فِي مَنَامِهَا فَيُمْسِكُ الَّتِي قَضَى عَلَيْهَا الْمَوْتَ وَيُرْسِلُ الْأُخْرَى إِلَى أَجَلٍ مُسَمًّى إِنَّ فِي ذَلِكَ لَآيَاتٍ لِقَوْمٍ يَتَفَكَّرُونَ ) الزمر/42.

อัลลอฮทรงเก็บชีวิตทั้งหลายเมื่อครบกำหนดวาระแห่งการตายของมัน และทรง(เก็บ)ชีวิต ที่ไม่ตายขณะนอนหลับ ดังนั้นพระองค์จะทรงยึดชีวิตที่ทรงกำหนดความตายให้แก่เขา และทรงปล่อยชีวิตอื่นให้คงอยู่ต่อไป คราบจนวาระที่ถูกกำหนดมาถึง แท้จริงในนั้น ยอมเป็นสัญญานแก่กลุ่มชนที่ใคร่ครวญ– อัซซุมัร/42

وَقَالَ ابْنُ عَبَّاسٍ وَغَيْرُهُ مِنَ الْمُفَسِّرِينَ : إِنَّ أَرْوَاحَ الْأَحْيَاءِ وَالْأَمْوَاتِ تَلْتَقِي فِي الْمَنَامِ فَتَتَعَارَفُ مَا شَاءَ اللَّهُ مِنْهَا ، فَإِذَا أَرَادَ جَمِيعُهَا الرُّجُوعَ إِلَى الْأَجْسَادِ أَمْسَكَ اللَّهُ أَرْوَاحَ الْأَمْوَاتِ عِنْدَهُ ، وَأَرْسَلَ أَرْوَاحَ الْأَحْيَاءِ إِلَى أَجْسَادِهَا

อิบนุอับบาสและบรรดานักตัฟสีรอื่นจากเขา กล่าวว่า “ แท้จริงบรรดาดวงวิญญาณ ของผู้ที่ยังมีชีวิต และดวงวิญญาณของบรรดาผู้ที่ตายแล้ว ได้พบกันในขณะนอนหลับ แล้วพวกเขาได้ทำความรู้จักกัน สิ่งซึ่งอัลลอฮทรงประสงค์จากมัน แล้วเมื่อการรวมตัวของมัน ต้องการที่จะกลับไปยังบรรดาร่างกาย อัลลอฮ ก็ได้ยึดบรรดาดวงวิญญาณของคนที่ตายแล้วเอาไว้ ณ ที่พระองค์ และทรงส่งบรรดาดวงวิญญาณของคนที่ยังมีชีวิตอยู่(ที่ยังไม่ถึงวาระ) กลับไปยังบรรดาร่างของมัน – ดูตัฟสีรอัลกุรฏุบีย์ เล่ม 15 หน้า 260

والله أعلم بالصواب

เขาบอกว่าทุกบิดอะฮคือการหลงผิดนั้นเรียนจากชัยฎอน


เขาบอกว่าทุกบิดอะฮคือการหลงผิดนั้นเรียนจากชัยฎอน

ข้อกล่าวหา.........

BamRung Wong เรียนที่ไซฏอนตนใหนหราครับ ทุกๆบิดอะห์นั้นหลงผิด
จริงอยุ่นบีกล่าว
كل بدعة ضلالة إلخ
แล้วเอ็งรู้ไหมว่ะ کل มีกี่ความหมาย (มันมี كل : مجموع กับ کل : جميع ) และกรณีนี้ต้องใช้ کل ใหน???
แล่ว บิดอะห์ แบ่งออกกี่ประเภท ไปเรียนมาใหม่ เถิดนะ
#เชือกตัวเองสั้น แต่กลับมาหาว่าน้ำไม่มีในบ่อ ถุ่ยยยย

@@@@

ชี้แจง

กิริยาวาจาการอธิบายทางศาสนาข้างต้น เป็นตัวอย่างหนึ่งของ ความไม่รู้ แล้วอุตริสอนศาสนา แถมขาดคุณธรรมนำทาง เลย สอนศาสนาไป แล้วถุยน้ำลายใส่สาธารณะ คุณไม่รู้หรือคุณได้เผยแพร่พฤติกรรมของคุณต่อสาธารณะ
คำว่า “ทุกบิดอะฮคือการหลงผิด” เป็นคำสอนจากท่านศาสนทูตของอัลลอฮแต่คุณกล่าวให้ร้ายคนที่ใช้หะดิษนี้เป็นหลักฐานว่า “เรียนจากชัยฏอน “นะอูซุบิลละฮ โลกปัจจุบัน ยังเหลือคนประเภทนี้อยู่อีกหรือ
ท่านบี ศอ็ลฯ กล่าวว่า

، وَإِيَّاكُمْ وَمُحْدَثَاتِ الأمُوْرِ فَإِنَّ كُلَّ بِدْعَةٍ ضَلَالَةٌ "
رَوَاهُ أَبُوْ دَاودَ وَالتِّرْمِذِيُّ وَقَالَ : حَدِيْثٌ حَسَنٌ صَحِيْحٌ.

และพวกท่านจงพึงระวังบรรดาสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่(ในศาสนา) เพราะทุกๆ อุตริกรรม(บิดอะฮฺ) นั้นคือความหลงผิด” หะดีษบันทึกโดยอบูดาวูด และอัต-ติรมิซีย์ และท่านกล่าวว่า หะดีษอยู่ในระดับหะสันเศาะหี้หฺ

ท่านอิบนุอุมัร (ร.ฎ) กล่าวว่า
كل بدعة ضلالة وإن رآها الناس حسنة
ทุกบิดอะฮคือการหลงผิด และแม้ว่ามนุษย์จะเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ดีก็ตาม –ดูที่มาข้างล่าง
رواه اللالكائي (رقم126)،وابن بطة (205)،والبيهقي في "المدخل إلى السنن"(191)،وابن نصر في "السنة" (رقم70) بسند صحيح كما في "علم أصول البدع" لعلي الحلبي (ص92).

คุณ BamRung Wong บอกว่า คำว่า “ทุกบิดอะฮคือการหลงผิด” เป็นเรียนจากชัยฏอน “ นะอูซุบิลละฮ ขอให้เตาบะฮเดี๋ยวนี้เลย และนี้ที่ผมต้องชี้แจง ปล่อยไว้อันตรายกับศาสนา
มาดูอุลามาอฺเขาอธิบายครับ คุณ BamRung Wong
อิหม่ามอัชชาฏิบีย(ร.ฮ)กล่าวว่า

قول النبيِّ صلى الله عليه وسلم: ((كل بدعة ضلالة)) محمولٌ عند العلماء على عمومه، لا يُستثنى منه شيء ألبتة، وليس فيها ما هو حسنٌ أصلاً؛ إذ لا حسن إلا ما حسَّنه الشرع، ولا قبيح إلا ما قبَّحه الشرع، فالعقل لا يحسِّن ولا يقبِّح؛ وإنما يقول بتحسين العقل وتقبيحه أهلُ الضلال.
คำพูดของนบี ศอ็ลฯ ที่ว่า (ทุกบิดอะฮ คือการหลงผิด) ในทัศนะบรรดาอุลามาอฺ ได้ถูกถือตามความหมายกว้างๆของมัน ไม่มีสิ่งใดยกเว้นเลย และในบิดอะฮนั้น ไม่มีสิ่งที่ดีในมัน มาแต่เดิม ยกเว้น สิ่งที่ศาสนบัญญัติได้ระบุว่ามันดี และไม่มีสิ่งใดเลว นอกจากสิ่งที่ศาสนบัญญัติระบุว่ามันเลว ดังนั้น สติปัญญา (เหตุผลทางปัญญา) จะไม่ตัดสินว่าดีหรือเลว ความจริง ผู้ที่กล่าวด้วยการเห็นว่าดีและเห็นว่าเลวของสติปัญญา (หมายถึงด้วยเหตุผลทางปัญญา) นั้นคือ ผู้ที่หลงผิด
-ฟะตาวาอิหม่ามอัชชาฏิบีย์ 180-181
จากรายละเอียดข้างต้น จึงสรุปได้ว่า ในศาสนบัญญัติ ไม่มีบิดอะฮที่ดี และ ผู้ที่ตัดสินว่าดีและเลวในเรื่องศาสนาด้วยเหตุผลทางปัญญา นั้น คือชาวบิดอะฮที่หลงผิด
อัศศอ็นอานีย์กล่าวว่า

ليس في البدعة ما يمدح بل كل بدعة ضلالة

ในเรื่องบิดอะฮนั้น ไม่มีสิ่งที่ได้รับการชมเชย แต่ในทางกลับกัน ทุกบิดอะฮนั้น คือ การหลงผิด – ดู สุบุลุสสลาม เล่ม 2 หน้า 10

อัลมุบาเราะกะฟูรีย์กล่าวว่า

فقوله صلى الله عليه وسلم كل بدعة ضلالة من جوامع الكلم لا يخرج عنه شيء وهو أصل عظيم من أصول الدين وأما ما وقع في كلام السلف من استحسان بعض البدع فإنما ذلك في البدع اللغوية لا الشرعية فمن ذلك قول عمر رضي الله عنه في التراويح نعمت البدعة .

ดังนั้น คำพูดของท่านนบี ศอ็ลฯ ที่ว่า “ทุกบิดอะฮ คือการหลงผิด เป็นส่วนหนึ่งจากคำพูดโดยรวม ซึ่งไม่มีสิ่งใดออกจากความหมายของมัน และมันคือ รากฐานสำคัญ จากบรรดารากฐานของศาสนา และสำหรับ สิ่งที่ปรากฏในคำพูดสะลัฟ จากการนับว่าดีบ่างส่วนของบิดอะฮนั้น ความจริง ดังกล่าวนั้น อยู่ในประเภทบิดอะฮในทางภาษา ไม่ใช่บิดอะฮในทางศาสนบัญญัติ ดังนั้นส่วนหนึ่งจากดังกล่าว (จากตัวอย่างบิดอะฮในทางภาษา)คือ คำพูดของอุมัร(ร.ฎ) ในเรื่องละหมาดตะรอเวียะว่า “เนียะมะตุลบิดอะฮ(บิดอะฮที่ดี) – ดู ตะฟะตุลอะวะซีย์ เล่ม 5 หน้า 366 สำนักพิมพ์ ดารุลกุตุบอัลอิลมียะฮ
..........

จะเห็นได้ว่า ในเรื่องเกี่ยวกับศาสนานั้น ทุกบิดอะฮเป็นสิ่งที่หลงผิด ไม่มีบิดอะฮที่ดีตามทัศนะของสะลัฟ
……………….

การกล่าวอะไรลงไปพึงระวัง จึงเขียนบทความชี้แจงบทนี้ เพื่อเตือนว่า การใช้อารมณ์และอคติจนเกินขอบเขต ขาดสติยับยั้งชั่งใจ อาจจะนำไปสู่การกุฟุรได้ ขอย้ำว่า “คำว่าทุกบิดอะฮคือการหลงผิด” เป็นคำสอนของท่านนบี ศอ็ลฯไม่ใช่คำสอนจากชัยฏอนตามที่คุณ BamRung Wong บอกว่า “เรียนที่ไซฏอนตนใหนหราครับ ทุกๆบิดอะห์นั้นหลงผิด”
จะแบ่งบิดอะฮสักกี่ประเภทไม่มีใครตำหนิหรอก แต่ บิดอะฮในเรื่อง ศาสนาบัญญัตินั้น หลงผิดแน่นอน
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

ใครบอกว่าหะดิษทาสหญิงไม่ถูกจัดไว้ในเรื่องอะกีดะฮ


ใครบอกว่าหะดิษทาสหญิงไม่ถูกจัดไว้ในเรื่องอะกีดะฮ

ข้อกล่าวหา.......... อีกอย่างหนึ่งฮาดิษนี้ อุลามะส่วนใหญ่ ไม่บรรจุไว้ในหมวดอากีดะห์นะครับ...แม้กระทั่งซาฟีอีย์ ก้อบรรจุไว้ในหมวดของการปล่อยทาส... ไม่ใช่บรรจุในเรื่องอากีดะห์ครับ..

@@@

ได้เคยเสวนาเรื่องอะกีดะฮ กับ คนกล่าวหา หลายครั้งน่าเสียใจไม่ยอมเปลี่ยน แล้วมาอ้างแบบนั่งเทียนว่า หะดิษญารียะฮ ที่นางบอกท่านนบีว่าอยู่บนฟ้า ว่า อุลามาอฺส่วนใหญ่ไม่อยู่ในเรื่องอะกีดะฮ พูดได้อย่างไร

ขอนำหะดิษญารียะฮ มาเสนออีกครั้ง

รายงานจากมุอาวียะฮ บิน ลหะกัม อัสสะละมี กล่าวว่า

وَكَانَتْ لِيْ جَارِيَةٌ تَرْعَى غَنَمًا لِيْ اُحُدٍ وَالْجُوَانِيَةِ فَاطَّلَعْتُ ذَاتَ يَوْمٍ فَاِذَا بَالذِّئْبِ قَدْ ذَهَبَ بِشَاةٍ مِنْ غَنَمِهَا وَاَنَا رَجُلٌ مِنْ بَنِيْ آدَمَ اَسَفَ كَمَا يَاْسِفُوْنَ . لَكِنَّيْ صَكَكْتُهَا صَكَّةً فَاَتَيْتُ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَعَظَّمَ ذَلِكَ عَلَيَّ . قُلْتُ يَارَسُوْلَ اللهِ اَفَلاَ اَعْتِقُهَا ؟ قَالَ : اِئْتِنِيْ بِهَا . فَقَالَ لَهَا : اَيْنَ اللهُ ؟ قَالَتْ : فِى السَّمَاءِ . قَالَ : مَنْ اَنَا ؟ قَالَتْ : اَنْتَ رَسُوْلُ اللهِ . قَالَ : اَعْتِقُهَا فِاِنَّهَا مُؤْمِنَة

มุอาวิยะฮ บิน หุกัม อัลอัสละมีย์ กล่าวว่า “ข้าพเจ้ามีทาสหญิงคนหนึ่ง เลี้ยงแพะให้ข้าพเจ้าที่ อุหุด และ ญุวัยนียะฮ ในวันหนึ่ง ข้าพเจ้า พบว่า 7ตัวหนึ่งที่นางดูแล ได้ถูกหมาป่าเอาไป และข้าพเจ้า เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่รู้สึกโกรธ เหมือนๆกับ บรรดาผู้ที่โกรธทั้งหลาย แต่ว่า ข้าพเจ้าได้ทุบตีนาง แล้วข้าพเจ้าได้ไปหาท่านรซูลุ้ลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮวะสัลลัมแล้ว ท่านได้ตักเตือนข้าพเจ้า ในเรื่องดังกล่าว
ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ รซูลุลลอฮ ข้าพเจ้าจะปล่อยนางให้เป็นอิสระได้ไหม? ท่านรซูลุลลอฮ กล่าวว่า “นำนางมาที่ฉัน แล้วรซูลุลลอฮได้กล่าวถามนางว่า “อัลลอฮอยู่ใหน? นางกล่าวตอบว่า “ อยู่บนฟากฟ้า” ท่านรซูลุลลอฮ กล่าวว่า “ฉันเป็นใคร? นางกล่าวว่า “ท่านคือ ศาสนทูตของอัลลอฮ ท่านรซูลุลลอฮ จึงกล่าวว่า “ปล่อยนางให้เป็นอิสระเถิด เพราะแท้จริงนางเป็นผู้หญิงที่ศรัทธา – รายงานโดย มุสลิม และอบีดาวูด
........
หะดิษข้างต้น ความหมายมันเกี่ยวกับเรืองอะกีดะฮ อยู่ในตัวแล้ว

1.อิบนุอับดิลบัร อัลมาลิกีย์(ฮ.ศ 368-463) กล่าวว่า

قَالَ أَبُو عُمَرَ : مَعَانِي هَذَا الْحَدِيثِ وَاضِحَةٌ يُسْتَغْنَى عَنِ الْكَلَامِ فِيهَا ، وَأَمَّا قَوْلُهُ : " أَيْنَ اللَّهُ ؟ فَقَالَتْ : فِي السَّمَاءِ " فَعَلَى هَذَا أَهْلُ الْحَقِّ لِقَوْلِ اللَّهِ - عَزَّ وَجَلَّ ( أَأَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ ) ، وَلِقَوْلِهِ : ( إِلَيْهِ يَصْعَدُ الْكَلِمُ الطَّيِّبُ ) ، وَلِقَوْلِهِ : ( تَعْرُجُ الْمَلَائِكَةُ وَالرُّوحُ إِلَيْهِ ) ، وَمِثْلُ هَذَا فِي الْقُرْآنِ كَثِيرٌ

อบูอุมัร (หมายถึงอิบนุอับดิลบัรเอง)กล่าวว่า ความหมายของหะดิษนี้ (หะดิษญารียะฮ) นั้นชัดเจน ไม่ต้องอาศัยการวิจารณ์ในมัน และสำหรับ คำพูดของท่านนบีที่ว่า "อัลลอฮอยู่ใหน? นางตอบว่า "อยู่บนฟ้า" ผู้ที่อยู่บนความจริง อยู่บนสิ่งนี้ เพราะคำตรัสของอัลลอฮ ผู้ทรงสูงส่งและทรงเลิศยิ่งที่ว่า (พวกเจ้าจะปลอดภัยละหรือจากผู้ที่อยู่บนฟ้า) และเพราะคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (บรรดาคำพูดที่ดีขึ้นไปยังพระองค์) และเพราคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (บรรดามลาอิกะฮและอัรรูห(ญิบรีล) ขึ้นไปยังพระองค์) - ดู อัตตัมฮีด 22/80
...
.
ข้างต้นปราชญ์คนสำคัญที่อยู่ช่วงปลายยุคสะลัฟก็ว่าได้ ได้กล่าวในประเด็นเรื่องอะกีดะฮ และยืนยันว่า บนความหมายหะดิษนี้ ผู้ที่อยู่บนความจริง/ความถูกต้อง(อะฮลุลหัก) ได้อยู่บนมัน

อิบนุอับดุลบัร อัลมาลิกีย์ กล่าวในอีกที่หนึ่ง ว่า

وأما قوله في هذا الحديث للجارية: ”أين الله؟“ فعلى ذلك جماعة أهل السنة وهم أهل الحديث ورواته المتفقهون فيه وسائر نقلته كلهم يقول ما قال الله تعالى في كتابه {الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى} [طه : 5] وأن الله عز وجل في السماء وعلمه في كل مكان

สำหรับ คำพูดของท่านนบี ในหะดิษเกี่ยวกับทาสหญิง ที่ว่า “อัลลอฮอยูใหน? คณะหนึ่งของอะฮลุสสุนนะฮ อยู่บนดังกล่าวนั้น (คือเชื่อตามนั้น) พวกเขาคือ นักหะดิษ และบรรดานักรายงานมัน เป็นบรรดาผู้ที่เข้าใจในมัน และบรรดาผู้รายงานของมันที่เหลือทั้งหมด กล่าวเกี่ยวกับสิ่งที่อัลลอฮตะอาลาตรัสไว้ในคัมภีรของพระองค์ ที่ว่า (พระเจ้าผู้ทรงเมตตาทรงประทับบนบัลลังค์ – ฏอฮา/๕ ว่า “และแท้จริง อัลลอฮผู้ทรงสูงส่ง และทรงเลิศยิ่ง อยู่บนฟ้า และความรู้ของพระองค์ อยู่ในทุกสถานที่ – ดู อัลอิสติซกัร 7/337

2.อิหม่ามอัดดารีมีย์ (ฮ.ศ 280 ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า

فلو لم يوصف بأين كما ادعيت أيها المعارض لم يكن رسول الله يقول للجارية أين الله فيغالطها في شيء لا يؤين وحين قالت هو في السماء لو قد أخطأت فيه لرد رسول الله عليها وعلمها، ولكنه استدل على إيمانها بمعرفتها أن الله في السماء،

แล้วถ้าหากอัลลอฮ ไม่ได้ทรงบอกลักษณะว่า พระองค์อยู่ใหน ดังที่ท่านอ้างโอ้ บรรดาผู้ที่คัดค้าน แน่นอนรซูลลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม คงไม่กล่าวแก่ทาสหญิงคนนั้นว่า “อัลลอฮอยู่ใหนหรอก เพราะจะทำให้นางผิดพลาดในสิ่งที่ไม่ได้อยู่ที่ใหน และในขณะทีนางกล่าวว่า “พระองค์อยู่บนฟ้า “ แน่นอนถ้านาง ผิดพลาดในคำตอบนั้น รซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จะต้องคัดค้านนาง และสอนนาง แต่ในทางกลับกัน ท่านรซูลุลลอฮ กลับแสดงบอกถึงความศรัทธาของนาง ด้วยการรู้จักของนาง ว่า อัลลอฮอยู่บนฟากฟ้า- ดู อัลมะริสีย์อัลญะฮมีย์ เล่ม 1 หน้า 511

3.อับดุลเฆาะนีย์ อัลมุกอ็ดดิสีย์อัลหัมบะลีย์ (ฮ.ศ 600)กล่าวเกี่ยวกับหะดิษญารียะฮว่า

مَنْ أجهلُ جهلاً، وأسخف عقلاً، وأضل سبيلاً ممن يقول: إنه لا يجوز أن يُقال: "أين الله؟" بعد تصريح صاحب الشريعة بقوله: ”أين الله؟“)

จะมีใครที่โง่แสนโง่ ,ปัญญาอ่อน และ ลุ่มหลุมในแนวทาง ยิ่งกว่า ผู้ที่กล่าวว่า ไม่อนุญาตให้ถูกกล่าวว่าอัลลอฮอยู่ใหน ? หลังจากที่เจ้าของแห่งชะรีอัต (หมายถึงท่านนบี)ได้ให้ความชัดเจนแล้วด้วยคำกล่าวของท่านว่า “อัลลอฮอยู่ใหน?- กิตาบอัสสิฟาต หน้า 76

4.สำหรับอิหม่ามชาฟิอี(ร.ฮ) อิหม่ามอัศศอบูนีย์ ยืนยันว่า
อิหม่ามอัศศอบูนีย์ ได้กล่าวถึงอะกีดะฮของอิหม่ามชาฟิอีว่า

وإنما احتج الشافعي رحمة الله عليه على المخالفين في قولهم بجواز إعتاق الرقبة الكافرة في الكفارة بهذا الخبر؛ لاعتقاده أن الله سبحانه فوق خلقه، وفوق سبع سماواته على عرشه، كما معتقد المسلمين من أهل السنة والجماعة، سلَفِهم وخلفِهم؛ إذ كان رحمه الله لا يرو خبرًا صحيحًا ثم لا يقول به.

และความจริง อัชชาฟิอี (ร.ฮ) ได้อ้างหลักฐาน ตอบโต้บรรดาผู้ที่มีความเห็นขัดแย้งในทัศนะของพวกเขา (ที่อ้างว่า) อนุญาตให้ปล่อยท่านหญิงที่เป็นกาเฟร ในสภาพที่เป็นกาเฟร ได้ ด้วยหะดิษนี้(หมายถึงหะดิษญารียะฮ ที่ตอบนบีว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้า) เพราะ อะกีดะฮของเขา(หมายถึงชาฟิอี)เชื่อว่า แท้จริงอัลลอฮ( ซ.บ) ทรงอยู่เหนื่อมัคลูคของพระองค์ และเหนือ บรรดาฟากฟ้าทั้งเจ็ดของพระองค์ ดังที่เป็นหลักความเชื่อของบรรดามุสลิม จากอะฮลุสสุนนะฮ วัลญะมาอะฮ ยุคสะลัฟและยุคเคาะลัฟ เพราะ ปรากฏว่าเขา(หมายถึงอิหม่ามชาฟิอี) เขาจะไม่รายงานหะดิษที่เศาะเอียะใดๆ แล้วต่อมาเขาไม่นำมากล่าวด้วยมัน
عقيدة السلف وأصحاب الحديث للصابوني ص118 و189]

…………
เพราะฉะนั้นการอ้างว่า ไม่มีนักปราชญ์เอาหะดิษใส่ไว้ในเรื่องอะกีดะฮ เป็นการพูดเดาสุ่ม เพราะ จากคำอธิบายของนักปราชญ์ที่กล่าวข้างต้นเขาพูดในเรื่องอะกีดะฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

เขาหาว่าเอายิวและคริสต์มารับรองอะกีดะฮ


เขาหาว่าเอายิวและคริสต์มารับรองอะกีดะฮ

อุหมาด รัตนพงค์
1 ชม. •
แอบอ้างได้ว่าเหมือน แต่ที่ศรัทธาจริงๆ วายีเมืองพุทธ
ไปเอา คริสต์ ยิวและอื่นๆมารับรองหากยังเป็นแบบนี้ เตาบัตเถอะ ลี

………………..

สืบเนื่องมาจากที่ผมได้นำเสนอหลักฐานต่อไปนี้เพื่อยืนยันการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮและได้ชี้แจงหลายครั้ง แต่ยังคงมีคนเอาไปชงบิดเบือนหาว่าเอาความเชื่อของยิวและคริสมารับรองอะกีดะฮ ผมจึงขอชี้แจง อีกครั้งดังต่อไปนี้

อิหม่ามบุคอรีย ได้รายงานใน หนังสือคอ็ลคุอัฟอาลิลอิบาด หน้า 9 ดังนี้

وَقَالَ سَعِيدُ بْنُ عَامِرٍ : " الْجَهْمِيَّةُ أَشَرُّ قَوْلا مِنَ الْيَهُودِ وَالنَّصَارَى ، قَدِ اجْتَمَعَتِ الْيَهُودُ وَالنَّصَارَى ، وَأَهْلُ الأَدْيَانِ أَنَّ اللَّهَ تَبَارَكَ وَتَعَالَى عَلَى الْعَرْشِ ، وَقَالُوا هُمْ : لَيْسَ عَلَى الْعَرْشِ شَيْءٌ

ความว่า “สาอีด บิน อามีร กล่าวว่า พวกญะฮฺมียะฮฺนั้นเลวยิ่งกว่าพวกยิวและคริศต์ เป็นที่ทราบกันดีว่า ยิวและคริศต์และศาสนาอื่นๆนั้นได้มีมติเอกฉันท์ร่วมกันว่า อัลลอฮทรงอยู่เหนือรัชฺ แต่พวกญะฮฺมียะฮฺกลับกล่าวว่า อัลลอฮมิได้อยู่เหนือสิ่งใดๆ
อิหม่ามอัซซะฮะบีย์(ร.ฮ)รายงานว่า

قال عبد الرحمن بن أبي حاتم حدثنا أبي قال حدثت عن سعيد ابن عامر الضبعي أنه ذكر الجهمية فقال هم شر قولا من اليهود والنصارى قد إجتمع اليهود والنصارى وأهل الأديان مع المسلمين على أن الله عزوجل على العرش وقالوا هم ليس على شيء

อับดุรเราะหฺมาน บิน อบีหาติม กล่าวว่า บิดาของฉันเล่าให้แก่เรา เขากล่าวว่า ฉันได้รับการเล่าจากสะอีด บิน อะมีร อัฎ-ฎุบะอีย์ว่า เขาได้พูดถึงพวกญะฮฺมียะฮฺ โดยกล่าวว่า “พวกญะฮฺมียะฮฺนั้นเลวยิ่งกว่าพวกยิวและคริศต์ เป็นที่ทราบกันดีว่า ยิวและคริศต์และศาสนาอื่นๆนั้นอยู่ร่วมกับมุสลิมในมติเอกฉันท์ว่า อัลลอฮทรงอยู่เหนือรัชฺ แต่พวกญะฮฺมียะฮฺกลับกล่าวว่า อัลลอฮมิได้อยู่เหนือสิ่งใดๆ - ดู อัล-อุลูว ลิล อะลิยยิล ฆ็อฟฟาร หน้า 157 และมุคตะศ็อร อัล-อุลูวฺ หน้า 168 และใน กิตาบอัลอะรัช 2/207,อัลอิบานะฮของอิบนุบัฏเฏาะฮ เล่ม 1 หน้า 45 และปรากฏระบุในตำราอื่นๆหลายเล่ม

……………………..

การที่กล่าวหาว่า วะฮบีย์ เอาอะกีดะฮยิวและคริสต์มารับรอง ขอชี้แจงดังนี้
ความจริงศาสนาอิสลาม มีมาตั้งแต่อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้แต่งตั้งนบีอาดัมให้เป็นศาสนาดาแล้ว โดยมีหลักอะกีดะฮเดียวกันคือ การศรัทธาในพรเจ้าองค์เดียวและให้เคารพภักดี ต่ออัลลอฮองค์เดียวเท่านั้นส่วนหลักชะรีอะฮ นั้น มีความแตกต่างกันไปตามยุคตามสมัย
คำว่า”คำว่า “อิสลาม”ตามภาษาอัลกุรอ่าน เป็นความหมายรวมทุกศาสนาที่อัลลอฮได้ประทานแก่บรรดารอซูล ไม่ใช่เฉพาะในยุคนบีมุหัมหมัด
ท่านนบี ศอลฯกล่าวว่า
، وَالْأَنْبِيَاءُ إِخْوَةٌ لِعَلَّاتٍ ، أُمَّهَاتُهُمْ شَتَّى وَدِينُهُمْ وَاحِدٌ
บรรดานบี เป็นพี่น้องที่สืบเชื้อสายจากพ่อเดียวกัน และบรรดาแม่ของพวกเขาแตกต่างกัน และพวกเขามีศาสนาเดียวกัน – รายงานโดยบุคอรี
ท่านอัลหาฟิซอิบนุหะญัร กล่าวว่า

معنى الحديث أن أصل دينهم واحد وهو التوحيد وإن اختلفت فروع الشرائع

ความหมายของหะดิษนี้คือ แท้จริงรากฐานของศาสนาบรรดานบีนั้น อันเดียวกัน คือ เตาฮีด แม้จะมีข้อปลีกย่อยของชะรีอัตแตกต่างกัน – ดูฟัตหุลบารี เล่ม ๖ หน้า ๔๘๙

คำว่า ศาสนายิวในอดีต หมายถึง ศาสนาอิสลาม ตามคำสอนคัมภีร์เตารอต ส่วนศาสนาคริสต์หมายถึง ศาสนาตามคำสอนคัมภีร์อินญีล ในอดีต
ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะอ กล่าวว่า

" فمن كان متبعا لشرع التوراة أو الإنجيل الذي لم يبدَّل ولم ينسخ فهو على دين الإسلام ، كالذين كانوا على شريعة التوراة بلا تبديل قبل مبعث المسيح عليه السلام ،
والذين كانوا على شريعة الإنجيل بلا تبديل قبل مبعث محمد صلى الله عليه وسلم "

ดังนั้นผู้ใดปฏิบัติตามชะรีอัต ของคัมภีร์เตารอต หรือคัมภีร์อินญีล ที่มันไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงและถูกยกเลิก เขาก็อยู่ในศาสนาอิสลาม เช่น บรรดาผู้ที่พวกเขาอยู่บนชะรีอัตคัมภีรเตารอต โดยที่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงก่อนที่นบีอีซา(อ)ถูกแต่งตั้ง และเช่น บรรดาผู้ที่พวกเขาอยู่บนชะรีอัตคัมภีร์อินญีลโดยที่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงก่อนที่นบีมุหัมหมัด (ศอ็ลฯ)ถูกแต่งตั้ง- ดูมัจญมัวะอัลฟะตาวา เล่ม ๒๗ หน้า ๒๗๐
เพราะฉะนั้น ศาสนายิว และ ศาสนาคริสต์ในอดีต ก็คือ ศาสนาอิสลามนั้นเอง
.........
คือ หมายถึง ความเชื่อของยะฮุดีและนะศอรอ ยุคที่คัมภีร์เตารอตและอินญีล ยังไม่ถูกเปลี่ยนและ ไม่ใช่ยุคปัจจุบัน
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า

قُلْ آمَنَّا بِاللّهِ وَمَا أُنزِلَ عَلَيْنَا وَمَا أُنزِلَ عَلَى إِبْرَاهِيمَ وَإِسْمَاعِيلَ وَإِسْحَاقَ وَيَعْقُوبَ وَالأَسْبَاطِ وَمَا أُوتِيَ مُوسَى وَعِيسَى وَالنَّبِيُّونَ مِن رَّبِّهِمْ لاَ نُفَرِّقُ بَيْنَ أَحَدٍ مِّنْهُمْ وَنَحْنُ لَهُ مُسْلِمُونَ

จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า เราได้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์แล้วและได้ศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานแก่เรา และสิ่งที่ถูกประทานแก่อิบรอฮีมและอิสมาอีล และอิสฮาก และยะกูบและบรรดาผู้สืบเชื้อสาย(จากยะอ์กูบ) และศรัทธาต่อสิ่งที่มูซาและอีซา และนะบีทั้งหลายได้รับจากพระเจ้าของพวกเขา โดยที่เราจะไม่แยกระหว่างคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขา และพวกเรานั้นเป็นผู้ที่นอบน้อมต่อพระองค์.-อาลิอิมรอน/84
อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ (ร.ฮ) รายงานว่า

قال عبد الرحمن بن أبي حاتم حدثنا أبي قال حدثت عن سعيد ابن عامر الضبعي أنه ذكر الجهمية فقال هم شر قولا من اليهود والنصارى قد إجتمع اليهود والنصارى وأهل الأديان مع المسلمين على أن الله عزوجل على العرش وقالوا هم ليس على شيء

อับดุรเราะหฺมาน บิน อบีหาติม กล่าวว่า บิดาของฉันเล่าให้แก่เรา เขากล่าวว่า ฉันได้รับการเล่าจากสะอีด บิน อะมีร อัฎ-ฎุบะอีย์ว่า เขาได้พูดถึงพวกญะฮฺมียะฮฺ โดยกล่าวว่า “พวกญะฮฺมียะฮฺนั้นเลวยิ่งกว่าพวกยิวและคริศต์ เป็นที่ทราบกันดีว่า ยิวและคริศต์และศาสนาอื่นๆนั้น ร่วมกับมุสลิม บนมติที่ว่า อัลลอฮทรงอยู่เหนือรัชฺ แต่พวกญะฮฺมียะฮฺกลับกล่าวว่า อัลลอฮมิได้อยู่เหนือสิ่งใดๆ
ดู อัล-อุลูว ลิล อะลิยยิล ฆ็อฟฟาร หน้า 157 และมุคตะศ็อร อัล-อุลูวฺ หน้า 168
อิหม่ามอัซซะฮะบีย์เอง กล่าวว่า

مقالة السلف وأئمة السنة بل الصحابة والله ورسوله صلى الله عليه وسلم والمؤمنين : وأن الله فوق سماواته
คำพูดสะลัฟ และบรรดาอิหม่ามสุนนะฮ โดยเฉพาะ เศาะหาบะฮ และ,อัลลอฮ ,รอซูลของพระองค์ (ศอลฯ) และบรรดาผู้ศรัทธา คือ
แท้จริงอัลลอฮ อยู่บนฟากฟ้าของพระองค์ – อัลอะลูว์ หน้า 107
การยืนยันถึงอะกีดะฮ พระเจ้าอยู่บนฟ้า เป็นอะกีดะฮสะลัฟ
อบูสะอีด อุษมาน อัดดาริมีย์ (ฮ.ศ 280) กล่าวว่า

ثم إجماع من الأولين والآخرين العالمين منهم والجاهلين ، أن كل واحد ممن مضى وممن غبر إذا استغاث بالله تعالى أو دعاه أو سأله ، يمد يديه وبصره إلى السماء يدعوه منها ، ولم يكونوا يدعوه من أسفل منهم من تحت الأرض ، ولا من أمامهم ، ولا من خلفهم ، ولا عن أيمانهم ، ولا عن شمائلهم ، إلا من فوق السماء ، لمعرفتهم بالله أنه فوقهم ،

หลังจากนั้น คือ มติเอกฉันท์จากบรรดาคนยุคแรก และบรรดาคนยุคสุดท้าย ที่มีความรู้ และไม่มีความรู้ แท้จริงทุกคน จากผู้ที่ผ่านมา และผู้ที่ยังคงอยู่ เมื่อขอความช่วยเหลือต่ออัลลอฮตาอาลา หรือดุอาต่อพระองค์ หรือขอต่อพระองค์ ,เขาได้ยื่นมือของเขาและทอดสายต่าของเขาสู่ฟากฟ้า ขอต่อพระองค์ จากมัน และไม่ปรากฏว่า พวกเขา ขอผู้ที่อยู่เบื้องล่างกว่า พวกเขา จากใต้พื้นดิน และ(ไม่ปรากฏว่าพวกเขา)ขอจากผู้ที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขา ,ผู้ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา ,ผู้ที่อยู่ด้านขวาพวกเขา และจากผู้ที่อยู่ด้านซ้ายพวกเขา นอกจาก ผู้ที่อยู่เหนือฟากฟ้า เพราะพวกเขารู้จัก อัลลอฮ ว่าแท้จริงพระองค์ทรงอยู่เหนือพวกเขา....ดู อัรรอด อะลัลญะมียะฮของอัดดาริมีย 1/44
.............
คือ คนยุคแรกและยุคหลัง เวลาขอดุอาต่ออัลลอฮ พวกเขาจะขอ โดยยื่นมือของพวกเขาและทอดสายต่าของพวกเขาสู่ฟากฟ้า ขอต่อพระองค์ ไม่มีใครขอโดยยื่นมือไปยังเบื้องล่าง ,เบื้องหน้า ,เบื้องซ้าย และเบื้องขวา

นี่คือ เป็นสิ่งพิสูจน์ว่า พระเจ้าอยู่เบื้องสูง ไม่ใช่อยู่ทุกแห่ง และไม่ใช่มีโดยปราศจากสถานที่ซึ่งหมายถึงสถานที่เบื้องสูงแยกจากมัคลูค ส่วนรูปแบบจะเป็นอย่างไรอัลลอฮเท่านั้นทรงรู้ ผู้ที่นำหลักฐานในประเด็นนี้ไปชง มีเจตนาดิสเครดิตเท่านั้น เพราะจนบัดนี้ยังไม่นำหลักฐานมาหักล้างเลย
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ภรรยานบียืนยันว่าอัลลอฮอยู่เหนือเจ็ดชั้นฟ้า


ภรรยานบียืนยันว่าอัลลอฮอยู่เหนือเจ็ดชั้นฟ้า
حَدَّثَنَا أَحْمَدُ، حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ أَبِي بَكْرٍ الْمُقَدَّمِيُّ، حَدَّثَنَا حَمَّادُ بْنُ زَيْدٍ، عَنْ ثَابِتٍ، عَنْ أَنَسٍ، قَالَ جَاءَ زَيْدُ بْنُ حَارِثَةَ يَشْكُو فَجَعَلَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم يَقُولُ " اتَّقِ اللَّهَ، وَأَمْسِكْ عَلَيْكَ زَوْجَكَ ". قَالَتْ عَائِشَةُ لَوْ كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم كَاتِمًا شَيْئًا لَكَتَمَ هَذِهِ. قَالَ فَكَانَتْ زَيْنَبُ تَفْخَرُ عَلَى أَزْوَاجِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم تَقُولُ زَوَّجَكُنَّ أَهَالِيكُنَّ، وَزَوَّجَنِي اللَّهُ تَعَالَى مِنْ فَوْقِ سَبْعِ سَمَوَاتٍ. وَعَنْ ثَابِتٍ {وَتُخْفِي فِي نَفْسِكَ مَا اللَّهُ مُبْدِيهِ وَتَخْشَى النَّاسَ} نَزَلَتْ فِي شَأْنِ زَيْنَبَ وَزَيْدِ بْنِ حَارِثَةَ.
อะหมัด ได้เล่าเรา ว่า มุหัมหมัด บิน อบีบักร อัลมุกอ็ดดิมีย์ ว่า หัมมาด บิน เซด ได้เล่าเราว่ารายงานจาก ษาบิด จากอะนัส เขากล่าวว่า “ เซด บิน หาริษะฮ ได้มาร้องทุกข์(เกี่ยวกับภรรยาของเขา) ทำให้นบี ศอ็ลฯ กล่าวแก่เขาว่า “ท่านจงยำเกรงต่ออัลลอฮ และจงดูแลรักษาภริยาของเจ้าไว้ให้อยู่กับเจ้าเถิด “ ,นางอาอีฉะฮ (ร.ฎ) กล่าวว่า หากปรากฏว่ารซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ปิดบังสิ่งใด เขาก็ปิดบังสิ่งนี้ เขา(ท่านนบี)กล่าวว่า “ซัยหนับ ได้แสดงความภาคภูมิใจอวด บรรดาภรรยาของนบี ศอ็ลฯ กล่าวว่า “โดยนางกล่าวว่า “ ครอบครัวของพวกเธอจัดการแต่งงานให้พวกเธอ (กับท่านนบี) โดยที่ อัลลอฮ ตะอาลา จัดการแต่งงานฉัน(กับนบี) จากเบื้องบน เจ็ดชั้นฟ้า และรายงานจากษาบีต ว่า (และเจ้าได้ซ่อนไว้ในจิตใจของเจ้าเรื่องที่อัลลอฮฺจะทรงเปิดเผยมัน) ว่า มัน(อายะฮนี้ )ถูก ประทานลงมาเกี่ยวกับ ซัยหนับและเซด บิน หาริษะฮ - รายงานโดยบุคอรี
>>>>
หะดิษข้างต้น ประโยคที่ท่านหญิงซัยหนับ(ร.ฎ) ว่า
وَزَوَّجَنِي اللَّهُ تَعَالَى مِنْ فَوْقِ سَبْعِ سَمَوَاتٍ.
โดยที่ อัลลอฮ ตะอาลา จัดการแต่งงานฉัน(กับนบี) จากเบื้องบน เจ็ดชั้นฟ้า
.............
แสดงให้เห็นชัดเจนแก่ผู้มีสติปัญญาปกติว่า “อัลลอฮทรงอยู่เบื้องสูง เหนือบรรดาชั้นฟ้า เป็นหลักฐานที่ชัดเจน เศาะเฮียะ เพียงแต่มันไม่กินกับปัญญาของนักปัญญานิยมเท่านั้น มิหนำซ้ำกล่าวหาว่า การเชื่อว่าอัลลอฮอยู่บนฟ้า คืออะกีดะฮฟิรเอาน์(ฟาโรห์ )นะอูซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

การว่าจ้างให้อ่านอัลกุรอ่านให้ผู้ตายมีหลักฐานชัวส์หรือมั่วนิ่ม



การว่าจ้างให้อ่านอัลกุรอ่านให้ผู้ตายมีหลักฐานชัวส์หรือมั่วนิ่ม
มีละแบคนหนึ่ง อ้างว่าหะดิษข้างล่างนี้คือหลักฐานว่าจ้างให้อ่านอัลกุรอ่านอุทิศบุญให้คนตาย คือ
عن ابي سعيد الخدري قال قال النبي صلى الله عليه وسلم إن احق ما أخذتم عليه أجرا كتاب الله
แท้จริงสิ่งที่เหมาะสมที่สุดที่ท่านจะรับเอาค่าจ้างนั้นก็คือกิตาบุลลอห์(อัลกุรอ่าน)
หะดิษเต็มๆคือ
عَنْ ابْنِ عَبَّاسٍ رضي الله عنهما أَنَّ نَفَرًا مِنْ أَصْحَابِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مَرُّوا بِمَاءٍ فِيهِمْ لَدِيغٌ فَعَرَضَ لَهُمْ رَجُلٌ مِنْ أَهْلِ الْمَاءِ فَقَالَ : هَلْ فِيكُمْ مِنْ رَاقٍ إِنَّ فِي الْمَاءِ رَجُلًا لَدِيغًا فَانْطَلَقَ رَجُلٌ مِنْهُمْ فَقَرَأَ بِفَاتِحَةِ الْكِتَابِ عَلَى شَاءٍ [أي : قطيع من الغنم] فَبَرَأَ فَجَاءَ بِالشَّاءِ إِلَى أَصْحَابِهِ فَكَرِهُوا ذَلِكَ ، وَقَالُوا : أَخَذْتَ عَلَى كِتَابِ اللَّهِ أَجْرًا ؟! حَتَّى قَدِمُوا الْمَدِينَةَ فَقَالُوا : يَا رَسُولَ اللَّهِ أَخَذَ عَلَى كِتَابِ اللَّهِ أَجْرًا فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : ( إِنَّ أَحَقَّ مَا أَخَذْتُمْ عَلَيْهِ أَجْرًا كِتَابُ اللَّهِ ) رواه البخاري ( 5405 ) .
.......................
หะดิษขางต้น เป็นกรณีที่เศาะหาบะฮกลุ่มหนึ่งทำการปัดเป่าคนถูกอสรพิษกัดด้วยการอ่านซูเราะฮฟะติฮะ แล้วได้รับค่าตอบแทนเป็นแพระตัวหนึ่ง พอกลับไปหาบรรดาสหาย บรรดาสหายก็รังเกียจ พอกลับไปยังมาดีนะฮ ก็ถามนบี ศอ็ลฯว่า เอาค่าจ้างบนกิตาบุลลอฮได้ไหม แล้วท่านนบี ศอ็ลฯก็ตอบว่า
إنَّ أَحَقَّ مَا أَخَذْتم عَلَيْهِ أَجْراَ كِتَاب الله
แท้จริงสิ่งที่พวกท่านสมควรจะเอาค่าตอบแทนคือ คัมภีร์ของอัลลอฮ
......
ข้างต้นไม่เกี่ยวกับเรื่อง รับจ้างอ่านอัลกุรอ่านโอนบุญให้ผู้ตายในหลุมศพเลย แต่ก็มีละแบบางคนเอาหะดิษนี้มาอ้างหากินกับคนตาย
อิหม่ามนะวาวีย์ได้อธิบายหะดิษข้างต้น โดยกล่าวว่า
هذا تصريح بجواز أخذ الأجرة على الرقية ، بالفاتحة ، والذِّكر , وأنها حلال لا كراهة فيها , وكذا الأجرة على تعليم القرآن , وهذا مذهب الشافعي ، ومالك ، وأحمد ، وإسحاق ، وأبي ثور ، وآخرين من السلف , ومَن بعدهم
นี้คือ ความชัดเจน เกี่ยวกับอนุญาตให้เอาค่าตอบแทน การปัดเป่า ด้วยฟาติหะฮและซิกีร และแท้จริงมัน หะลาล ไม่มักรูฮในมัน และในทำนองเดียวกัน การเอาค่าตอบแทน การสอนอัลกุรอ่าน และนี้คือ ทัศนะของ ชาฟิอี,มาลิก,อะหมัด,อิสหาก,อบีษูร ,บรรดาคนอื่นๆจากชาวสะลัฟ และผู้ที่อยู่ยุคหลังจากพวกเขา – ดู ชัรหุมุสลิม เล่ม 14 หน้า 188
อิบนุอะซูร กล่าวว่า
أن الجمهور من العلماء أجازوا أخذ الأجر على تعليم القرآن فضلاً عن الفقه والعلم فقال بجواز ذلك الحسن وعطاء والشعبي وابن سيرين ومالك والشافعي وأحمد وأبو ثور والجمهور ، وحجتهم في ذلك الحديث الصحيح عن ابن عباس أن النبي صلى الله عليه وسلم قال ( إن أحق ما أخذتم عليه أجراً كتاب الله
แท้จริง ชนส่วนมากจากบรรดานักวิชาการ พวกเขาอนุญาตให้เอาค่าจ้างสอนอัลกุรอ่านได้ เช่นเดียวกับ ฟิกฮและวิชาความรู้ ดังนั้น ที่กล่าวว่าอนุญาตดังกล่าวคือ อัลหะซัน ,อะฏออฺ, อิบนุสิรีน ,มาลิก,ชาฟิอี ,อะหมัด ,อบูษูรและบรรดานักวิชาการส่วนมาก และหลักฐานของพวกเขาในเรื่องดังกล่าวนั้นคือ หะดิษเศาะเฮียะ รายงานจากอิบนุอับบาสว่า แท้จริง นบี ศอ็ลฯกล่าวว่า (แท้จริงสิ่งที่สมควรจะอาค่าจ้างบนมันคือ กิตาบุลละฮ “ – ดู อัตตะหรีร วัตตันวีร เล่ม 1 หน้า 467
.......
ขอยืนยันว่า หะดิษข้างต้นไม่เกี่ยวกับการว่าจ้างหรือเอาค่าจ้างอ่านอัลกุรอ่านโอนบุญให้คนตาย
อิบนุ อบิลอิซ อัลหะนะฟีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า
وَأَمَّا اسْتِئْجَارُ قَوْمٍ يَقْرَءُونَ الْقُرْآنَ وَيُهْدُونَهُ لِلْمَيِّتِ فَهَذَا لَمْ يَفْعَلْهُ أَحَدٌ مِنَ السَّلَفِ وَلَا أَمَرَ بِهِ أَحَدٌ مِنْ أَئِمَّةِ الدِّينِ ، وَلَا رَخَّصَ فِيهِ . وَالِاسْتِئْجَارُ عَلَى نَفْسِ التِّلَاوَةِ غَيْرُ جَائِزٍ بِلَا خِلَافٍ .
และสำหรับการว่าจ้าง กลุ่มคน ให้พวกเขาอ่านอัลกุรอ่าน และอุทิศมันให้แก่ผู้ตาย กรณีนี้ ไม่มีคนใดจากชาวสะลัฟ และไม่มีคนใดจากบรรดาปราชญ์ทางศาสนา สั่งให้ปฏิบัติด้วยมัน และไม่ผ่อนปรน ในมัน และการว่าจ้าง บนตัวของการอ่าน นั้น ไม่อนุญาต โดยปราศจากการขัดแย้ง (ของบรรดานักวิชาการ) - ชัรหอะกีดะฮอัฏเฏาะหาวียะฮ 2/673
........
เพราะแะนั้นไม่ควรนำเอาอัลกุรอ่านหรือหะดิษมาชงหาความชอบธรรมในการหาประโยชน์กับการตาย
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
29/7/59

ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงสถิตย์อยู่เหนือบัลลังก์


الرَّحْمَنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى
[20.5] ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงสถิตย์อยู่เหนือบัลลังก์
อายะฮข้างต้น นักวิชาการยุคสะลัฟ ยืนยันการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮและไม่มีใครบอกว่า อัลลอฮอาศัยอารัชเป็นที่สถิต แต่คุณโกหกบิดเบือนให้ร้ายและหุกุมมุสลิมด้วยกันว่า มีอะกีดะฮกาเฟร -นะอูซุบิลละฮ คุณปิดบังตัวตนไม่ให้ใครรู้ แต่พึงสังวรณ์ว่า อัลลอฮรู้ว่าคุณคือใคร
ต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งจาก คำอธิบายความหมายอิสติวาอฺ
อิหม่ามอัลบุคอรี (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
قال أبو العالية: "استوى إلى السماء: ارتفع"، وقال مجاهد: "استوى: علا على العرش
อบุลอะลียะฮ กล่าวว่า คำว่า استوى إلى السماء" หมายถึง สูง และมุญาฮิด กล่าวว่า "استوى" หมายถึง อยู่สูงเหนืออะรัช -ฟัตหุลบารีย์ 13/403
أنبأنا ابن سلامة ، عن أبي جعفر الطرسوسي ، عن يحيى بن منده ، ثنا أحمد بن الفضل الباطرقاني ، سمعت أبا عمر السلمي ، سمعت أبا حفص الرفاعي ، سمعت عمرو بن تميم المكي ، سمعت محمد بن إسماعيل الترمذي ، سمعت المزني ، يقول : " لا يصح لأحد توحيد حتى يعلم أن الله على العرش بصفاته . قلت : مثل أي شيء ؟ قال : سميع بصير عليم قدير " . أخرجها ابن منده في تاريخه .
คำแปลตัวบท
อัลมะซานีย์ (ศิษย์ิหม่ามชาฟิอี)กล่าวว่า " เตาฮีดของคนหนึ่งคนใด จะใช้ไม่ได้(ไม่เศาะ)จนกว่า เขารู้ว่า แท้จริงอัลลอฮ ทรงอยู่เหนืออะรัช ด้วยบรรดาคุณลักษณะของพระองค์ ,ข้าพเจ้ากล่าวว่า เหมือนกับสิ่งใหนหรือ? เขากล่าวว่า " ทรงได้ยิน,ทรงเห็น,ทรงรู้ ,ทรงสามารถ-บันทึกโดยอิบนุมันดะฮในตาริคของเขา -อัลอุลูว หะดิษหมายเลข 347
คำว่าสถิต ก็คือ อยู่ สถิตบนอะรัช ก็คืออยู่บนอะรัช คืออยู่เหนืออะรัช ไม่ได้อาศัยอะรัช อย่างที่คุณโกหกบิดเบือนให้ร้ายคนที่เชื่อในการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ
روى ابن شقيق أنه قيل لابن المبارك: "كيف نعرف ربنا؟"
قال: ;بأنه فوق السماء السابعة على العرش، بائن من خلقه
อิบนุชะกีก ได้รายงานว่า มีผู้กล่าวแก่อิบนุอัลมุบารอ็กว่า "ท่านรู้จักพระเจ้าของเราอย่างไร เขากล่าวว่า " พระองค์ทรงอยู่เหนือฟากฟ้าชั้นเจ็ด บนอะรัช แยกจากมาคลูคของพระองค์ (1)
..........
(1) الرد على الجهمية للدارمي (ص39-40) بسند حسن، عن الحسن بن الصباح البزاز ثنا علي بن الحسن بن شقيق. وعبد الله بن أحمد بن حنبل في كتابه "السنة" (ص175) عن عبد الله بن شبويه عن ابن شقيق. ورواها غيرهما كثير بعضهم نقلا عن هؤلاء وبعضهم بأسانيدهم
......
คำว่า แยกออกจากมัคลูค
معنى أن الله بائن من خلقه: أي أنه منفصل عن المخلوقات، فليس في ذاته شيء من مخلوقاته، ولا في مخلوقاته شيء من ذاته. ولا يحويه أو يُحيط به شيء من خلقه.
ความหมายคำว่า อัลลอฮแยกออกจากมัคลูคของพระองค์ หมายถึง พระองค์ทรงแยกออกจากบรรดามัคลูค ไม่มีสิ่งใดจากมัคลูคของพระองค์ อยู่ในซาต(ตัวตน)ของพระองค์ และไม่มีสิ่งใดจากซาตของพระองค์ อยู่ในมัคลูค และไม่มีสิ่งใดจากมัคลูคของพระองค์บรรจุและห้อมล้อม พระองค์
อิหม่ามกุตัยบะฮ บิน สะอีด (ฮ.ศ 240) กล่าวว่า
هذا قول الأئمة في الإسلام وأهل السنة والجماعة : نعرف ربنا عز وجل في السماء السابعة على عرشه ، كما قال ( الرحمن على العرش استوى )
นี่คือทัศนะของบรรดาอิหม่ามในอิสลาม และอะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ " เรารู้จักพระผู้อภิบาลของเรา ผู้ทรงสูงสุ่งและทรงเลิศยิ่ง อยู่บน ฟากฟ้าที่เจ็ด บนอะรัชของพระองค์ ดังที่ทรงตรัสว่า (ผู้ทรงกรุณาปรานี ทรงสถิตย์อยู่เหนือบัลลังก์ )-สิยัรเอียะลามอัลนุบะลาอฺ ของอิหม่ามอัซซะฮะบีย์ เล่ม 11หน้า 20 (ดูสำเนาที่แนบ)
.............

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

วิภาษการอ้างเท็จของคนดันทุรังจะจูบกุโบร์


วิภาษการอ้างเท็จของคนดันทุรังจะจูบกุโบร์

Nazaie Al-baihagi
9 ชม.

ต่อไปนี้คือบทวิภาษบทความของเวาะสัน สะเดา
การลูบ และจูบกุโบร์นั้น เป็นสิ่งอนุญาตทีปราชย์ชาวอะฮลุสซุนนห์วัลญะมาอะห์ของแท้ ส่งเสริมให้ทำ เช่น ท่านอะหมัด(รฮ)
บันทึกจากท่านอับดุลลอฮฺ บุตรของท่านอิหม่ามอะหมัด อิบนุ ฮัมบัล ปราชญ์ใหญ่แห่งสะลัฟว่า
“ ท่านอิหม่ามอะหมัด อิบนุฮัมบัล(ปราชญ์หัวหน้ามัษฮับฮัมบะลีย์แห่งยุคสะลัฟศอลิห์)ถูกถามเรื่องชายผู้หนึ่งที่ทำการลูบสัมผัสมิมบัรของท่านนะบีย์ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ชายผู้นั้นได้ทำการเอาบะรอกัตด้วยการสัมผัส และก็ได้ทำการจูบมิมบัรนั้น และเขาก็กระทำการดังกล่าวที่สุสาน เพื่อหวังความใกล้ชิดไปยังอัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่เกรียไกร ท่านอิหม่ามอะหมัดตอบว่า : ไม่เป็นไร : ”
อัลอิลัล เล่ม 2, หน้าที่ 492.

ท่านอัซซะฮะบีย์ ปราชญ์อะฮฺลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (ปี 673-748 ฮิจเราะฮ์) ก็ได้กล่าวว่า

قُلْتُ: أَيْنَ الْمُتَنَطِّعُ الْمُنْكِرُ عَلَى أَحْمَدَ، وَقَدَ ثَبَتَ أَنَّ عَبْدَ اللهِ سَأَلَ أَبَاهُ عَمَّنْ يَلْمَسُ رَمَانَةَ مِنْبَرِ النَّبِيِّ، صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، وَيَمُسُّ الْحُجْرَةَ النَّبَوِيَّةَ، فَقَالَ: لاَ أَرَى بِذَلِكَ بَأْساً. أَعَاذَنَا اللهُ وَإِيَّاكُمْ مِنْ رَأْيِ الْخَوَارِجِ وَمِنَ الْبِدَعِ

“ ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า คนไหนกันที่คิดลึกเลยเถิดที่จะมาตำหนิท่านอะหมัด แท้จริงได้ยืนยันว่า ท่านอับดุลลอฮฺ(บุตรของอิหม่ามอะหมัด)ได้ถามบิดาของเขาจากผู้ที่ลูบขอบมิมบัรของท่านนะบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลัม และสัมผัสห้องของท่านนะบีย์ ท่านบิดา(คืออิหม่ามอะหมัด)กล่าวว่า ฉันเห็นว่าสิ่งดังกล่าวนั้น ไม่เป็นไร. (ท่านอัซซะฮะบีย์กล่าวว่า) ขออัลลอฮฺทรงให้เราและพวกท่านพ้นจากความเห็นของพวกค่อวาริจญฺและบิดอะฮ์ทั้งหลายด้วยเถิด ”
ซิยัรอะอฺลาม อันนุบะลาอฺ เล่ม 11, หน้า 212.
……..
ส่วนกรณีที่เวาะสัน สะเดา อ้างว่า.ท่านอิหม่ามอะหมัด(รฮ)ไม่ได้ส่งเสริมให้จูบกุโบร์ โดยเวาะสันอ้างว่า สายรายงานดังกล่าวปราชญมัซฮับหัมบะลี(รฮ)บางคน บอกว่า ไม่ศอเหียะ(ถูกต้อง)..
คำกล่าวนี้.เวาะสัน สะเดา เป็นคนเพิ่มเติมเข้าไปเอง..จริงๆแล้วปราชย์บางคนที่กล่าววิจาณ์นั้นหมายถึงสายรายงานนี้ไม่ถึงขั้น ซอเหียะ.แต่ไม่ได้หมายความว่ารายงานนี้ มันดออีฟญิดัน ซึ่งบางที่มันหมายถึงว่า สายรายงานนี้ มันอยู่ในระดับ ฮะซัน นั้นเอง..

.............
@@@@@@@@@@@@

ขี้แจง

การสัมผัส ลูบ และจูบกุโบร เพื่อเอาบะเราะกัต เป็นอุตริกรรม หรือบิดอะฮ ที่ไม่ปรากฏในคำสอนศาสนาอิสลาม ไม่ว่าในอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ และไม่ปรากฏรายงานที่เศาะเฮียะว่าบรรดาเคาะลิฟะฮทั้งสี่ ได้ปฏิบัติ และไม่ปรากฏเป็นอิจญมาอฺ ที่ใช้เป็นหลักฐานได้ แต่คุณ
Nazaie Al-baihagi บอกว่า เป็นสิ่งอนุญาตทีปราชย์ชาวอะฮลุสซุนนห์วัลญะมาอะห์ของแท้ ส่งเสริมให้ทำ เช่น ท่านอะหมัด(รฮ)
บันทึกจากท่านอับดุลลอฮฺ บุตรของท่านอิหม่ามอะหมัด อิบนุ ฮัมบัล

...........

คำว่า "อนุญาต "ในเรื่องเกี่ยวกับอิบาดะฮ นั้น ถือเป็นหุกุมชัรอีย์ แล้วใครหรือมีสิทธิ์อนุญาตกำหนดรูปแบบอิบาดะฮขึ้นมาใหม่ คือ "จูบกุโบร์ของคนศอลิหเพื่อเอาบะเราะกัต"

ในเรื่อง อิบาดะฮในอิสลาม ต้องมีตัวบทที่เป็นคำสั่งจากอักุรอ่านและอัสสุนนะฮ

الأعمال الدينية لا يجوز أن يتخذ شيء منها سببا إلا أن تكون مشروعة فإن العبادات مبناها على التوقيف

บรรดาการงานที่เกี่ยวกับศาสนานั้น ไม่อนุญาตให้สิ่งใดๆจากมันถูกเอามาเป็น มูลเหตุ(ให้กระทำ)นอกจาก มันเป็นสิ่งที่ถูกบัญญัติไว้แล้ว เพราะแท้จริงบรรดาอิบาดะฮนั้นรากฐานของมันถูกวางอยู่บนการรอคำสั่ง - อัลอาดาบอัชชัรอียะฮ ของอิบนุมุฟลิห เล่ม 2หน้า 265

อัลหาฟิซอิบนุหะญัร (ร.ฮ) กล่าวว่า

قَالَ ابْنُ عَبْدِ الْبَرِّ وَغَيْرُهُ : الْحُجَّةُ عِنْدَ التَّنَازُعِ السُّنَّةُ ، فَمَنْ أَدْلَى بِهَا فَقَدْ أَفْلَحَ

อิบนุอับดิลบัรและคนอื่นจากเขา กล่าวว่า "หลักฐาน ในขณะที่มีการเห็นขัดแย้งกันนั้น คือ อัสสุนนะฮ ดังนั้น ผู้ใดอ้างเหตุผล/ชี้แจงด้วยมัน แน่นอนเขาประสบความสำเร็จ

- ดูฟัตหุลบารีย์ เรื่อง بَاب إِذَا أُقِيمَتْ الصَّلَاةُ فَلَا صَلَاةَ إِلَّا الْمَكْتُوبَةَ อธิบายหะดิษหมายเลข 632
...........
ใหนหรือหลักฐานจากอัสสุนนะฮ ให้ตะบัรรุกด้วยการจูบกุโบร์ ไม่มีเลย มันแค่ความเห็น จะเป็นศาสนบัญญัติในอิสลามได้อย่างไร

การอ้างรายงานจากอิหม่ามอะหมัด (ร.ฮ) ว่าท่านส่งเสริมให้ทำนั้น เป็นการแอบอ้างท่านอิหม่ามอะหมัดนั้น ท่านอัลหาฟิซอิบนุหะญัร(ร.ฮ) ได้อธิบายว่า

فَنُقِلَ عَنِ الْإِمَامِ أَحْمَدَ أَنَّهُ سُئِلَ عَنْ تَقْبِيلِ مِنْبَرِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَتَقْبِيلِ قَبْرِهِ فَلَمْ يَرَ بِهِ بَأْسًا ، وَاسْتَبْعَدَ بَعْضُ أَتْبَاعِهِ صِحَّةَ ذَلِكَ ،

ได้ถูกรายงานจาก อิหม่ามอะหมัด ว่าเขาถูกถามเกี่ยวกับ การจูบมินบัร นบี ศอ็ลฯ และการจูบหลุมศพของท่าน แล้วเขาเห็นว่า “ไม่เป็นไร” (อิบนุหะญัรกล่าวว่า) ส่วนหนึ่งของผู้ที่เจริญรอยตามเขา (หมายถึงบรรดาปราชญ์มัซฮับอิหม่ามอะหมัด) เห็นว่า รายงานดังกล่าวห่างใกลความถูกต้อง(คือเป็นไปไม่ได้) - ฟัตหุลบารีย 3/475

มาดูคำยืนยันจากอิบนุกุดะฮมะฮ (ร.ฮ) ปราชญมัซฮับ หัมบะลีย์ ดังนี้
อิบนุกุดามะฮ (ฮ.ศ 541 – 620) ปราชญ์อวุโส แห่งมัซฮับหัมบะลีย์กล่าวว่า

وَلَا يُسْتَحَبُّ التَّمَسُّحُ بِحَائِطِ قَبْرِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَلَا تَقْبِيلُهُ ، قَالَ أَحْمَدُ : مَا أَعْرِفُ هَذَا . قَالَ الْأَثْرَمُ : رَأَيْت أَهْلَ الْعِلْمِ مِنْ أَهْلِ الْمَدِينَةِ لَا يَمَسُّونَ قَبْرَ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُومُونَ مِنْ نَاحِيَةٍ فَيُسَلِّمُونَ . قَالَ أَبُو عَبْدِ اللَّهِ : وَهَكَذَا كَانَ ابْنُ عُمَرَ يَفْعَلُ

และไม่ชอบ(ไม่ส่งเสริม)ให้ลูบกำแพงหลุมศพนบี ศอ็ลฯ และไม่ส่งเสริมให้จูบมัน ,อะหมัดกล่าวว่า “ฉันไม่รู้จักสิ่งนี้ ,อิบนุ อัลอัษรอม กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็น นักวิชาการชาวมะฮดีนะฮ พวกเขาไม่ได้สัมผัส หลุมศพนบี ศอ็ลฯ พวกเขายืนข้างๆ แล้วกล่าวสล่าม อบูอับดุลลอฮ กล่าวว่า เช่นนั้นแหละ อิบนุอุมัร ได้ปฏิบัติ – อัลมุฆนีย 3/559
.............
ขนาดอิบนุอุมัร (ร.ฏ) เป็นผู้ที่เคร่งในการปฏิบัติตามสุนนะฮ และรักท่านนบีมาก ท่านยังไม่จูบกุโบร์นบี ศอ็ลฯ แล้วคนอื่นเป็นใคร เขาดีกว่านบีหรือ
คุณ Nazaie Al-baihagi นำคำพูด อิหม่ามอัซซะฮะบีย์ มาอ้างว่า

قُلْتُ : أَيْنَ الْمُتَنَطِّعُ الْمُنْكِرُ عَلَى أَحْمَدَ ، وَقَدْ ثَبَتَ أَنَّ عَبْدَ اللَّهِ سَأَلَ أَبَاهُ عَمَّنْ يَلْمِسُ رُمَّانَةَ مِنْبَرِ النَّبِيِّ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - وَيَمَسُّ الْحُجْرَةَ النَّبَوِيَّةَ ، فَقَالَ : لَا أَرَى بِذَلِكَ بَأْسًا . أَعَاذَنَا اللَّهُ وَإِيَّاكُمْ مِنْ رَأْيِ الْخَوَارِجِ وَمِنَ الْبِدَعِ

ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า คนไหนกันที่คิดลึกเลยเถิดที่จะมาตำหนิท่านอะหมัด แท้จริงได้ยืนยันว่า ท่านอับดุลลอฮฺ(บุตรของอิหม่ามอะหมัด)ได้ถามบิดาของเขาจากผู้ที่ลูบขอบมิมบัรของท่านนะบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลัม และสัมผัสห้องของท่านนะบีย์ ท่านบิดา(คืออิหม่ามอะหมัด)กล่าวว่า ฉันเห็นว่าสิ่งดังกล่าวนั้น ไม่เป็นไร. (ท่านอัซซะฮะบีย์กล่าวว่า) ขออัลลอฮฺทรงให้เราและพวกท่านพ้นจากความเห็นของพวกค่อวาริจญฺและบิดอะฮ์ทั้งหลายด้วยเถิด ”
ซิยัรอะอฺลาม อันนุบะลาอฺ เล่ม 11, หน้า 212.
....
วิภาษณ์

ใหนหรือครับคุณ Nazaie Al-baihagi ที่อ้างว่าอนุญาตให้จูบกุโบรฺเพื่อตะบัรรุก ในคำพูดที่อิหม่ามอัซซะฮะบีย์อ้างถึง ไม่ได้ระบุ เกี่ยวกับอนุญาตให้จูบกุโบร์ แม้แต่อักษรเดียว แต่กลับมาเป็นหลักฐานอนุญาตให้จูบกุโบร์ -นะอูซุบิลละฮ

ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ) กล่าวว่า

فقد رخص أحمد وغيره في التمسح بالمنبر والرمانة التي هي موضع مقعد النبي صلى الله عليه وسلم ويده ولم يرخصوا في التمسح بقبره .

แท้จริง อะหมัด และคนอื่นจากเขา ผ่อนปรน ในกรณี ลูบมินบัร และ อัรรุมานะฮ ซึ่ง มันคือที่นั่งของท่านนบี ศอ็ลฯ และ(ที่วาง)มือของท่านและพวกเขาไม่ผ่อนปรน ในกรณีลูบกุโบร์ของท่านนบี - อิกติฎออฺอัสสิรอฏิลมุสตะกีม 1/367
...........

อัลมัรดะวีย์ (ร.ฮ) ปราชญมัซฮับหัมบะลีย์ กล่าวว่า

لَا يُسْتَحَبُّ تَمَسُّحُهُ بِقَبْرِهِ عَلَيْهِ أَفْضَلُ الصَّلَاةِ وَالسَّلَامِ عَلَى الصَّحِيحِ مِنْ الْمَذْهَبِ قَالَ فِي الْمُسْتَوْعِبِ : بَلْ يُكْرَهُ قَالَ الْإِمَامُ أَحْمَدُ : أَهْلُ الْعِلْمِ كَانُوا لَا يَمَسُّونَهُ نَقَلَ أَبُو الْحَارِثِ : يَدْنُو مِنْهُ وَلَا يَتَمَسَّحُ بِهِ ،

ไม่ชอบ(ไม่สุนัต) ให้เขาลูบกุโบร์นบี (ศอ็ลฯ) ตามทัศนะที่เศาะเฮียะ จากบรรดามัซฮับ และเขา(มุหัมหมัด บิน อับดุลลอฮ อัสสามิรีย์ ปราชญ์ฮัมบะลี)ได้กล่าวใน อัลมุสเตาฮอิบ" ว่า "ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นมักรูฮ ,อิหม่ามอะหมัด กล่าวว่า "นักวิชาการพวกเขาจะไม่ลูบ มัน(กุบูรนบี) ,อบูอัลหารีษ กล่าวว่า ให้เขาอยู่ใกล้มัน และเขาจะไม่ลูบมัน ดู อันอินศอฟ 4/54

.....
หลักฐานคำยืนยันจากปราชญมัซฮับอิหม่ามอะหมัด เป็นการตอกย้ำว่า รายงานที่อิหม่ามอะฮหมัดอนุญาตให้จูบกุโบรนั้นเป็นรายงานที่แอบอ้าง

ส่วนที่นาย Nazaie Al-baihagi อ้างว่า

ส่วนกรณีที่เวาะสัน สะเดา อ้างว่า.ท่านอิหม่ามอะหมัด(รฮ)ไม่ได้ส่งเสริมให้จูบกุโบร์ โดยเวาะสันอ้างว่า สายรายงานดังกล่าวปราชญมัซฮับหัมบะลี(รฮ)บางคน บอกว่า ไม่ศอเหียะ(ถูกต้อง)..
คำกล่าวนี้.เวาะสัน สะเดา เป็นคนเพิ่มเติมเข้าไปเอง..จริงๆแล้วปราชย์บางคนที่กล่าววิจาณ์นั้นหมายถึงสายรายงานนี้ไม่ถึงขั้น ซอเหียะ.แต่ไม่ได้หมายความว่ารายงานนี้ มันดออีฟญิดัน ซึ่งบางที่มันหมายถึงว่า สายรายงานนี้ มันอยู่ในระดับ ฮะซัน นั้นเอง.
.......
ขอชี้แจงว่า
นาย Nazaie Al-baihagi นั่งเทียนอ้างเท็จโดยปราศจากหลักฐานทางวิชาการ นึกคิดเอง ที่อ้างคำว่า"บางที" แสดงให้เห็นการนั่งปิดตาเดาสุ่มของนาย Nazaie Al-baihagi -

................
والله أعلم بالصواب

อะสัน หมัดอะดั้ม

นบีเนียตอย่างไรในขณะตักบีร


นบีเนียตอย่างไรในขณะตักบีร

อุดม ชาญชัยพิชิต
1 ชม.
ขอท้าวะห์บีทั้งประเทศว่ารู้ไหมว่านบีเนียตอย่างใรในขณะตักเบรอตุ้ลเอี๊ยห์รอมและกรุณานำหลักฐานมาแสดงด้วยครับหรือว่าวะห์บีละหมาดโดยไม่ต้องเนียตเพราะไม่พบหลักฐานจากรุอ่านและหะดิษว่านบี(ซล)เนียตอย่างใร???????
...............

ตอบ

ก่อนอื่นต้องขอมาอัฟท่านปู่อุดม ที่นำมาตอบคำถามที่ท่านท้าในเพจนี้ แต่ก็ถือว่าได้ปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของท่านปู่แล้วเพราะท่านปู่อุดม ท้าทั่วประเทศ

ท่านปู่ถามว่า " ขอท้าวะห์บีทั้งประเทศว่ารู้ไหมว่านบีเนียตอย่างใรในขณะตักเบรอตุ้ลเอี๊ยห์รอม"

กระผมขอตอบอย่างไม่ลังเลว่า " ท่านนบี ศอ็ลฯ เนียตละหมาดในใจโดยไม่กล่าวคำเนียต "ว่าอุศอ็ลลี...."ในขณะตักบีรเราะติลเอียะรอม"
ทั้งนี้ เพราะ คำว่าเนียตมีความหมายในทัศนะปราชญมัซฮับชาฟิอีดังนี้

1.อัลมาวัรดี(ร.ฮ) กล่าวว่า

هي قصد الشيء مقترنًا بفعله،

คือ การเจตนาสิ่งใด พร้อมกับการปฏิบัติมัน

المنثور في القواعد (3/284)، منتهى الآمال (ص: 83).

2. อัลนะวาวีย์ (ร.ฮ) กล่าวว่า

فَالنِّيَّةُ عَزْمُ الْقَلْبِ عَلَى عَمَلِ فَرْضٍ أَوْ غَيْرِ

การเนียตคือ การมีความตั่งใจ ต่อการปฏิบัติสิ่งที่เป็นฟัรดู หรืออื่นจากมัน

المجموع (1/353).

ท่านนบี ศอ็ลฯ กล่าวว่า

إِنَّمَا الْأَعْمَالُ بِالنِّيَّاتِ

ความจริงบรรดาการงานนั้น ด้วยการเจตนา(เนียต) -รายงานโดยมุสลิม
..............
เรียนท่านปู่ว่า
ไม่มีคำสอนจากนบี ศอ็ลฯ ให้บอกกับอัลลอฮดังๆเวลาตักบีรเราะติลเอียะรอมว่า "กูจะละหมาด....."

การกล่าวคำเนียต เป็นเนื้องอกชนิดหนึ่งที่เข้ามาปะปนและเพิ่มเติม ในคำสอนศาสนาโดยไม่มีคำสอนหรือ สุนนะฮจากท่านบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมและเหล่าสาวกของท่าน ดังรายละเอียดต่อไปนี้

ลมาลา อาลี บิน สุลฏอน มุหัมหมัดอัลกอรีย กล่าวว่า

وَقَالَ الْقَسْطَلَّانِيُّ فِي الْمَوَاهِبِ : وَبِالْجُمْلَةِ فَلَمْ يَنْقُلْ أَحَدٌ أَنَّهُ - عَلَيْهِ الصَّلَاةُ وَالسَّلَامُ - تَلَفَّظَ بِالنِّيَّةِ ، وَلَا أَعْلَمَ أَحَدًا مِنْ أَصْحَابِهِ التَّلَفُّظَ بِهَا

และอัลกอสฏอลานีย์ กล่าวในอัลมะวาฮิบว่า “ และสรุป ว่า ไม่มีคนใดรายงานว่า นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวคำเนียต และข้าพเจ้าไม่เคยทราบว่าคนหนึ่งคนใด จากบรรดาเศาะหาบะฮ กล่าวคำเนียต – ดูมิรกอตุลลมะฟาติห ชัรหุ มิชกาตุลมะศอเบียะ หะดิษหมายเลข 1 เรื่องการเนียต

อิบนุอบิลอิซ อัลหะนะฟีย์ นักวิชาการมัซฮับหะนะฟีย์ กล่าวว่า

لم يقل احد من الأئمة الأربعة لا الشافعي و لا غيره باشتراط التلّفظ بها و إنما النية محلها القلب باتفاقهم , إلاّ أن بعض المتأخرين أوجب التلّفظ بالنية و خرج وجها في مذهب الشافعي ! قال النووي : و هو غلط . انتهى .

ไม่มีคนหนึ่งคนใดจากอิหม่ามทั้งสี่ ไม่ว่าจะเป็นชาฟิอีและอื่นจากเขาก็ไม่มี กล่าวกำหนดเงื่อนไขการกล่าวคำเนียต และความจริงการเนียตนั้น สถานที่ของมันคือ หัวใจ ด้วยการเห็นฟ้องของพวกเขา (ของอิหม่ามทั้งสี่) ยกเว้น บางส่วนของนักวิชาการยุคหลัง ที่กำหนด วาญิบจะต้องกล่าวคำเนียตและได้อธิบายออกมาว่าเป็นแนวทางหนึ่ง ในมัซฮับ(ทัศนะ)ของอิหม่ามชีฟิอี ,อิหม่ามนะวาวีย์กล่าวว่า “ มันคือ ความเข้าใจที่ผิดพลาด – ดู อัลอิตบาอฺ หน้า ๖๒

......................


والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม