วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2559
อย่าเอาความจริงมาปนกับความเท็จ
อย่าเอาความจริงมาปนกับความเท็จ
อย่าเอาความเท็จมาปนกับความจริงและอย่าปิดบังความจริงทั้งๆที่ตัวเองรู้
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
وَلاَ تَلْبِسُواْ الْحَقَّ بِالْبَاطِلِ وَتَكْتُمُواْ الْحَقَّ وَأَنتُمْ تَعْلَمُونَ
และพวกเจ้าจงอย่าปะปน สิ่งจริงด้วยสิ่งเท็จ และจงอย่าปกปิดสิ่งที่เป็นจริง ทั้ง ๆ ที่พวกเจ้ารู้กันอยู่ - อัลบะเกาะเราะฮ/๔๒
อิบนุกะษีร (ร.ฮ) กล่าวว่า
يَقُولُ تَعَالَى نَاهِيًا لِلْيَهُودِ عَمَّا كَانُوا يَتَعَمَّدُونَهُ ، مِنْ تَلْبِيسِ الْحَقِّ بِالْبَاطِلِ ، وَتَمْوِيهِهِ بِهِ وَكِتْمَانِهِمُ الْحَقَّ وَإِظْهَارِهِمُ الْبَاطِلَ : ( وَلَا تَلْبِسُوا الْحَقَّ بِالْبَاطِلِ وَتَكْتُمُوا الْحَقَّ وَأَنْتُمْ تَعْلَمُونَ ) فَنَهَاهُمْ عَنِ الشَّيْئَيْنِ مَعًا ، وَأَمَرَهُمْ بِإِظْهَارِ الْحَقِّ وَالتَّصْرِيحِ بِهِ ؛ وَلِهَذَا قَالَ الضَّحَّاكُ ، عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ ( وَلَا تَلْبِسُوا الْحَقَّ بِالْبَاطِلِ ) لَا تَخْلِطُوا الْحَقَّ بِالْبَاطِلِ وَالصِّدْقَ بِالْكَذِبِ
อัลลอฮตาอาลาตรัสห้ามแก่ชาวยิว จากสิ่งที่พวกเขา จงใจกระทำมันจากการนำความจริงมาปนกับความเท็จ และการเอาความจริงมาผสมกับความเท็จ ,การปกปิดความจริง และเปิดเผยความเท็จว่า (และพวกเจ้าจงอย่าปะปน สิ่งจริงด้วยสิ่งเท็จ และจงอย่าปกปิดสิ่งที่เป็นจริง ทั้ง ๆ ที่พวกเจ้ารู้กันอยู่) แล้วพระองค์ทรงห้ามพวกเขา จากสองสิ่งพร้อมๆกัน และทรงสั่งพวกเขา ให้เปิดเผยความจริง และชี้แจงมัน และเพราะเหตุนี้ อัฎเฎาะหาก ได้รายงานจากอิบนุอับบาสว่า (และพวกเจ้าจงอย่าปะปน สิ่งจริงด้วยสิ่งเท็จ)หมายถึง พวกเจ้าอย่าเอาความจริงปนกับความเท็จ และ (อย่าเอา)สัจจะปนกับการโกหก - ดู ตัฟสีรอิบนุกะษีร ๑/๒๔๕
..........
จากอายะฮและคำอธิบายข้างต้นสรุปว่า
๑. อัลลอฮทรงห้ามจากการนำเอาความจริงมาปะปนและผสมกับความเท็จ
๒. อัลลอฮทรงห้ามไม่ให้ปกปิดความจริง ทัั้งๆที่รู้อยู่ว่ามันคือความจริง
๓. อัลลอฮทรงสอนให้เปิดเผยและชี้แจงความจริง
จากข้อสรุปข้างต้น จึงเป็นบทเรียนสอนเราว่า อย่าเอาเตาฮีด มาผสมกับการชิริก และอย่าเอาสุนนะฮไปปนกับบิดอะฮ แต่สอนให้เราเปิดเผยความจริง ชี้แจงว่าอะไร คือ เตาฮีด อะไรคือชิริก อะไรคืออีหม่าน อะไรคือ กุฟุร อะไรคือสุนนะฮ อะไรคือบิดอะฮ ไม่อย่างนั้น ก็มีพฤติกรรมเช่นเดียวกับยิว
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2559
จะตามผู้รู้ประเภทใหนไม่ให้หลงทาง
จะตามผู้รู้ประเภทใหนไม่ให้หลงทาง
قال الشيخ العثيمين-رحمه الله-: (العلماء ثلاثة أقسام: عالم مِلَّةْ، وعالم دولة، وعالم أمة).
ชัยค์อัลอุษัยมีน (ร.ฮ)กล่าวว่า " อุลามาอฺ (บรรดาผู้รู้)แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
1. อาลิมมิลละฮ
2. อาลิมเดาละฮ
3. อาลิมอุมมะฮ
أما عالم الْمِلَّة: فهو الذي ينشر دين الإسلام، ويفتي بدين الإسلام عن علم، ولا يبالي بما دل عليه الشرع أوافق أهواء الناس أم لم يوافق.
สำหรับอาลิม อัล-มิลละฮ นั้น คือผู้ที่เผยแพร่ศาสนาอิสลาม และฟัตวา(ตอบปัญหาศาสนา)จากความรู้ โดยไม่สนใจว่าบทบัญญัติที่แสดงบอกบนมัน นั้นจะตรงกับอารมณ์ของบรรดาผู้คนหรือไม่ก็ตาม
وأما عالم الدولة: فهو الذي ينظر ماذا تريد الدولة فيفتي بما تريد الدولة، ولو كان في ذلك تحريف كتاب الله وسنة رسوله-صلى الله عليه وسلم-.
และสำหรับอาลิมอัด-เดาละฮ คือ คือผู้รู้ที่พิจารณาดูว่า อะไรที่รัฐต้องการ เขาก็ฟัตวา ตามที่รัฐต้องการ และแม้ว่า ในดังกล่าวนั้น คือ การบิดเบือนคัมภีร์อัลลอฮและสุนนะฮรอซูลของพระองค์(ศอลฯ)ก็ตาม
وأما عالم الأمة: فهو الذي ينظر ماذا يرضي الناس، إذا رأى الناس على شيء أفتى بما يرضيهم، ثم يحاول أن يحرف نصوص الكتاب والسنة من أجل موافقة أهواء الناس.
และสำหรับอาลิมอัด-เดาละฮ คือ ผู้ที่พิจารณาดูว่า อะไรที่บรรดาผู้คน เมื่อบรรดาผู้คนเห็นชอบสิ่งใด เขาก็ตอบปัญหา(ฟัตวา) ด้วยสิ่งที่บรรดาผู้คนพอใจ หลังจากนั้น เขาก็พยายามบิดเบือนบรรดาตัวบทอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ เพื่อให้สอดคล้องกับที่อารมณ์มนุษย์ต้องการ
نسأل الله أن يجعلنا من علماء الملة العاملين بها
เราขอต่ออัลลอฮ โปรดบันดาลให้เราเป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาอุลามาอฺอัลมิลละฮที่ปฏิบัติตามคำสอนศาสนาด้วยเถิด
(4/307-308/شرح رياض الصالحين).
จากคำพูดของเช็คมุหัหมัด อัลอุษัยมีน สรุปได้ดังนี้
1. อุลามาอฺเดาละฮ คือ บรรดาผู้รู้ที่พยายามบิดเบือนคำสอนของศาสนา เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ วาสนา ตำแหน่ง และยศถาบรรดาศักดิ์ ที่รัฐมอบให้ เพราะชงศาสนาตามที่รัฐต้องการ
2. อุลามาอฺอุมมะฮ คือ บรรดาผู้รู้ที่ต้องการความนิยมชมชอบจากมวลชนหรือสังคม สิ่งใดที่คนทั่วไปพอใจ เขาก็ดำเนินการเผยแผ่และสอนตามนั้น เพื่อเอาใจผู้คน แม้จะบิดเบือนหลักฐานจากอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ เขาก็ทำ
3. อุลามาอฺมิลละฮ คือ บรรดาผู้รู้ที่เผยแพร่ศาสนาตรงไปตรงมาผู้คนจะพอใจหรือไม่ ก็ตาม เพราะเขายึดศาสนาและความถูกต้องเป็นหลัก
والله أعلم بالصواب
แครดิต...
อะสัน หมัดอะดั้ม
อิหม่ามบุคอรีสังกัดมัซฮับชาฟีอีจริงหรือ
อิหม่ามบุคอรีสังกัดมัซฮับชาฟีอีจริงหรือ
การสังกัดมัซฮับเป็นเรืองที่จำเป็นที่สุด
ขนาดอูลามาอุฮาดีษเบอร์1ของโลกอิสลามอย่าง(อีหม่ามบูคอรี)ยังสังกัดมัซฮับ ซาฟีอีเลย แล้ววาฮาบีคนไหนล่ะ ทีจะสู้อีหม่ามบูคอรีได้ บอกได้เลย ฟ้า กับ ดิน
>>.>>>>>>
มีการอ้างว่า อิหม่ามบุคอรีสังกัดมัซฮับชาฟิอี แถมเยาะเย้ยวะฮบีย์ตามสันดาน ดังนั้น การกล่าวอ้างข้างต้น จริงหรือไม่มาดูคำชี้แจงต่อไปนี้
คำถาม
وَسُئِلَ أَيْضًا - رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ - هَلْ الْبُخَارِيُّ، وَمُسْلِمٌ، وَأَبُو داود، والترمذي، والنسائي، وَابْنُ ماجه، وَأَبُو داود الطيالسي، والدارمي، وَالْبَزَّارُ، والدارقطني، والبيهقي، وَابْنُ خزيمة، وَأَبُو يَعْلَى الْمُوصِلِيُّ هَلْ كَانَ هَؤُلَاءِ مُجْتَهِدِينَ لَمْ يُقَلِّدُوا أَحَدًا مِنْ الْأَئِمَّةِ، أَمْ كَانُوا مُقَلِّدِينَ ؟ وَهَلْ كَانَ مِنْ هَؤُلَاءِ أَحَدٌ يَنْتَسِبُ إلَى مَذْهَبِ أَبِي حَنِيفَةَ ؟ .....
ท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ(ร.ฎ) ถูกถามว่า “ อัลบุคอรี ,มุสลิม ,อบูดาวูด ,อัตติรมิซีย์ , อัลนะสาอีย์ ,อิบนุมายะฮ ,อัดดาริมีย์ ,อัลบัซซาร ,อัดดารุลกุฏนีย์ ,อัลบัยฮะกีย์ ,อิบนุคุซัยมะฮ ,อบุลยะอฺลา อัลมูศิลีย์ ว่า พวกเขาเหล่านี้ เป็นมุจญตะฮิด ไม่ตักลิดตามคนหนึ่งคนจากบรรดาอิหม่าม หรือว่าพวกเขาเป็นผู้ที่ตักลิดตาม? และ มีคนหนึ่งคนใดจากพวกเขาเหล่านี้ สังกัดมัซฮับอบีหะนีฟะฮบ้าง ?
คำตอบ
فَأَجَابَ : الْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعَالَمِينَ . أَمَّا الْبُخَارِيُّ وَأَبُو داود فَإِمَامَانِ فِي الْفِقْهِ مِنْ أَهْلِ الِاجْتِهَادِ .
وَأَمَّا مُسْلِمٌ والترمذي والنسائي وَابْنُ ماجه وَابْنُ خزيمة وَأَبُو يَعْلَى وَالْبَزَّارُ وَنَحْوُهُمْ ؛ فَهُمْ عَلَى مَذْهَبِ أَهْلِ الْحَدِيثِ لَيْسُوا مُقَلِّدِينَ لِوَاحِدِ بِعَيْنِهِ مِنْ الْعُلَمَاءِ وَلَا هُمْ مِنْ الْأَئِمَّةِ الْمُجْتَهِدِينَ عَلَى الْإِطْلَاقِ بَلْ هُمْ يَمِيلُونَ إلَى قَوْلِ أَئِمَّةِ الْحَدِيثِ كَالشَّافِعِيِّ وَأَحْمَد وَإِسْحَاقَ وَأَبِي عُبَيْدٍ وَأَمْثَالِهِمْ، وَمِنْهُمْ مَنْ لَهُ اخْتِصَاصٌ بِبَعْضِ الْأَئِمَّةِ كَاخْتِصَاصِ أَبِي داود وَنَحْوِهِ بِأَحْمَدَ بْنِ حَنْبَلٍ وَهُمْ إلَى مَذَاهِبِ أَهْلِ الْحِجَازِ - كَمَالِكِ وَأَمْثَالِهِ - أَمْيَلُ مِنْهُمْ إلَى مَذَاهِبِ أَهْلِ الْعِرَاقِ - كَأَبِي حَنِيفَةَ وَالثَّوْرِيِّ –
เขาตอบว่า “บรรดาการสรรเสริญ เป็นสิทธิของอัลลอฮ พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก
สำหรับ บุคอรี และอบูดาวูด คือ ทั้งสองเป็นอิหม่ามใน ด้านฟิกฮ เป็นส่วนหนึ่งจากนักอิจญติฮาด (หมายถึงมุจญตะฮิด)
สำหรับ มุสลิม , อัตติรมิซีย์ , อัลนะสาอีย์ ,อิบนุมายะฮ ,อิบนุคุซัยมะฮ ,อบูยะอฺลา ,อัลบัซซาร และ ที่เหมือนกับพวกเขา ,พวกเขา อบู่บนมัซฮับ นักหะดิษ พวกเขาไม่ใช่ผู้ตักลิดตาม คนหนึ่งคนใดจากบรรดาอุลามาอฺเป็นการเฉพาะเจาะจง และพวกเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาอิหม่ามมุจญตะฮิด โดยเอกเทศ(มุฏลัก) แต่ทว่า พวกเขาเอนเอียงไปสู่ ทัศนะของ อิหม่ามหะดิษ เช่น ชาฟิอี ,อะหมัด,อิสหาก,อบีอุบัยดฺ และบรรดาผู้ที่อยู่ในระดับเหมือนกับพวกเขา และส่วนหนึ่งจากพวกเขา คือ ผู้ที่ เจาะจง ด้วบบรรดาอิหม่ามบางคน เช่น การเจาะจงของอบูดาวูด และ ผู้ที่ทำนองเดียวกับเขา ด้วยมัซฮับ อะหมัด บิน หัมบัล และ พวกเขาเอนเอียงไปสู่บรรดามัซฮับอะฮลุลฮิญาซ เช่น มาลิกและบรรดาผู้ที่อยู่ระดับเหมือนกับเขา และส่วนหนึ่งจากพวกเขา เอนเอียงไปสู่บรรดามัซฮับ อะฮลุลอิรอ็ก เช่น อบีหะนีฟะฮและอัษเษารีย - ดู มัจญมัวะอัลฟะตาวา เล่ม 20 หน้า 40
>>>>>>>>
จากคำตอบของอิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ)ข้างต้น แสดงให้เห็นว่า อิหม่ามบุคอรี เป็นมุจญตะฮีดในทางฟิกฮท่านหนึ่ง ไม่ได้ผูกขาดมัซฮับหนึ่งมัซฮับใดเป็นการเฉพาะ
ชัยค์มุหัมหมัด อันวารอัลกัชมีรีย์ กล่าวว่า
البخاري عندي سلك مسلك الاجتهاد ولم يقلد أحدا في كتابه
บุคอรีนั้น ในทัศนะข้าพเจ้า เขาดำเนินตามแนวทางอิจญติฮาด และเขาไม่ได้ตักลิดตามคนหนึ่งคนใด ในตำราของเขา - ฟัยฎุลบารีย อะลัศเศาะเฮียะบุคอรี 1/438
และที่ท่านโต๊ะครูน้อย อ้างว่า การสังกัดมัซฮับเป็นเรืองที่จำเป็นที่สุด
........
ขอชี้แจงว่า เป็นการนั่งเทียนพูดตามความคิดเห็นตนเอง เพราะไม่มีอิหม่ามมัซฮับคนใดสอนให้สังกัดมัซฮับเลย
อิบนุกอ้ยยิม (ร.ฮ)กล่าวว่า
وقد نهى الأئمة الأربعة عن تقليدهم , وذموا من أخذ أقوالهم بغير حجة ; فقال الشافعي : مثل الذي يطلب العلم بلا حجة كمثل حاطب ليل , يحمل حزمة حطب وفيه أفعى تلدغه وهو لا يدري , ذكره البيهقي
และความจริง อิหม่ามทั้งสี่ ได้ห้ามตักลีด(เชื่อตาม)พวกเขา และพวกเขาตำหนิผู้ที่ยึดเอาคำพูดของพวกเขาโดยปราศจากหลักฐาน แล้วท่านอิหม่ามชาฟิอีย์กล่าวว่า" อุปมาผู้ที่ศึกษาหาความรู้ โดยไม่มีหลักฐาน อุปมัยดังเช่น คนหาไม้ฟืนยามค่ำคืน ,เขาแบกมัดของไม้ฟืน และในนั้นมีงูจะกัดเขาอยู่ โดยที่เขาไม่รู้ ,อัลบัยฮะกีย์ได้ระบุเอาไว้
- อะอฺลามุลมุวักกิอีน เล่ม 1 หน้า 139
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
ใครบอกว่าวะฮบีย์ไม่ตามอุลามาอฺ
ใครบอกว่าวะฮบีย์ไม่ตามอุลามาอฺ
ข้างต้น เป็นวาทกรรมที่ถูกนำไปกล่าวหาพี่น้องมุสลิมที่ถูกอุปโลกน์ฉายาให้เป็นวะฮบีย"มาตลอดและเป็นวาทกรรมยอดฮิตเช่นกัน ความจริงการกล่าวหาเยี่ยงนี้ เกิดจากอคติและนั่งเทียนกล่าวหา
ทุกคนที่เรียนศาสนาต้องอาศัยความรู้ที่บรรดาอุลามาอฺ(หรือผู้รู้)ถ่ายทอดมาทั้งนั้น ไม่มีใครคิดความรู้ขึ้นเองเลย
ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ถือว่าวิชาความรู้คือแหล่งการสืบทอดมรดกจากบรรดานบี ท่านได้กล่าวไว้ว่า
إِنَّ الْعُلَمَاءَ وَرَثَةُ الأَنْبِيَاءِ وَإِنَّ الأَنْبِيَاءَ لَمْ يُوَرِّثُوْا دِيْنَارًا وَلاَدِرْهَمًا ، وَإِنَّمَا وَرْثُوا العِلْم ، فَمَنْ أَخَذَهُ أَخَذَ بِحَظِّ وَافِر
ความว่า “แท้จริงบรรดาผู้รู้เป็นผู้สืบทอดมรดกจากบรรดานบี และแท้จริงบรรดานบีนั้นมิได้มอบมรดกให้เป็นดีนารหรือดิรฮัม(เป็นเงิน) แต่ทว่าได้มอบมรดกให้เป็นวิชาความรู้ ดังนั้นผู้ใดได้รับมรดกนั้น เขาจะได้รับโชคลาภอย่างมหาศาล”- อัลบุคอรีย์ 268
คำว่า "บรรดาผู้รู้เป็นผู้สืบทอดมรดกจากบรรดานบี" หมายถึงการสืบทอดความรู้และสุนนะฮของท่านนบี ศอ็ลฯ แล้วถ้าอุตริบิดอะฮขึ้นมา จะเรียกว่า สืบทอดมรดกนบีได้อย่างไร?
قَالَ أَبُو حَاتِمٍ رَضِيَ الِلَّهِ عَنْهُ : فِي هَذَا الْحَدِيثِ بَيَانٌ وَاضِحٌ أَنَّ الْعُلَمَاءَ الَّذِينَ لَهُمُ الْفَضْلُ الَّذِي ذَكَرْنَا ، هُمُ الَّذِينَ يُعَلِّمُونَ عِلْمَ النَّبِيِّ صَلَّى الِلَّهِ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، دُونَ غَيْرِهِ مِنْ سَائِرِ الْعُلُومِ ، أَلا تَرَاهُ يَقُولُ : " الْعُلَمَاءُ وَرَثَةُ الأَنْبِيَاءِ " وَالأَنْبِيَاءُ لَمْ يُوَرِّثُوا إِلا الْعِلْمَ ، وَعِلْمُ نَبِيِّنَا صَلَّى الِلَّهِ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ سُنَّتُهُ ، فَمَنْ تَعَرَّى عَنْ مَعْرِفَتِهَا لَمْ يَكُنْ مِنْ وَرَثَةِ الأَنْبِيَاءِ .
อบูหาติม บิน หิบบาน (ร.ฎ)กล่าวว่า ในหะดิษนี้ คือการอธิบายอย่างชัดเจนว่า บรรดาอุลามาอฺ ที่พวกเขาได้รับเกียรติ ที่เราได้กล่าวถึงพวกเขาคือ บรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามความรู้ของนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไม่ใช่บรรดาความรู้อื่นจากความรู้ท่านนบี ,ท่านไม่เห็นหรอกหรือว่า "ท่านนบีกล่าวว่า (แท้จริงบรรดาผู้รู้เป็นผู้สืบทอดมรดกจากบรรดานบี) และบบรรดานบีนั้น พวกเขาจะไม่มอบมรดก(แก่ผู้ใด) นอกจากความรู้ และความรู้ของนบีของเรานั้น คือ สุนนะฮของท่านนบี ดังนั้น ผู้ใดห่างใกลจากการรู้จักมัน(หมายถึงรู้จักสุนนะฮนบี) เขาก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งจาก ทายาทบรรดานบี - เศาะเฮียะอิบนุหิบบาน ๑/๒๘๙ กิตาบุลอิลมิ
จากคำอธิบายของอิบนุหิบบานข้างต้นสรุปว่า
๑.บรรดาอุลามาอฺหรือผู้รู้ที่ได้รับเกียรติให้เป็นทายาทบรรดานบีคือ บรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามความรู้ของท่านนบี
๒. ความรู้ของท่านนบี คือ สุนนะฮของท่านนบี
๓. บรรดาผู้รู้ที่ไม่รู้จักสุนนะฮนบี พวกเขาไม่ใช่ทายาทบรรดานบี
เพราะฉะนั้น ที่วะฮบีย์ไม่ตามอุลลามาอฺคือ อุลามาอฺที่สอนและสนับสนุนให้ทำบิดอะฮ ซึงไม่ใช่ความรู้จากนบี และนี่คือสาเหตุที่ถูก โจมตีว่า "วะฮบีย์ไม่ตามอุลามาอฺ"
والله أعلم بالصواب
แครดิต...
อะสัน หมัดอะดั้ม
วาทกรรมวะฮบีย์ชอบหุกุมบิดอะฮ
วาทกรรมวะฮบีย์ชอบหุกุมบิดอะฮ
ข้างต้นเป็นวาทกรรมที่ได้ถูกนำมากล่าวหาพี่น้องมุสลิมที่ถูกฉายาให้เป็น "พวกวะฮบีย" บ่อยมาก จะเรียกว่าวาทกรรมยอดฮิตก็ว่าได้
ความจริงคำว่า "บิดอะฮ" ไม่ใช่คำศัพท์ที่วะฮบีย์ กำหนดขึ้นมาเองเลย แต่เป็นคำศัพท์ ที่ศาสนทูตของอัลลอฮ คือ ศาสดามุหัมหมัดศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เป็นผู้ กล่าวไว้ และสอนให้ระวังสิ่งที่เป็นบิดอะฮ และบรรดาเคาะฎิบมัสยิดต่างๆก็นำคำนี้มากล่าวในคำนำของคุฏบะฮ คือ
وإياكم ومحدثات الأمور ، فإن كل محدثة بدعة ، وكل بدعة ضلالة
พวกท่านพึงระวังบรรดากิจการที่ถูกประดิษฐขึ้นใหม่ เพราะแท้จริง ทุกสิ่งที่ถูกประดิษฐขึ้นใหม่นั้น คือ บิดอะฮ และทุกๆบิดอะฮคือ การหลงผิด - รายงานโดย อบูดาวูด หะดิษหมายเลข ๔๖๐๗ และอัตติรมิซีย หะดิษหมายเลข ๒๖๗๖
มาดูคำอธิบาย ของปราชญ์มัซฮับชาฟีอี ในคำว่า "บิดอะฮ" ดังนี้
ท่านอิบนุ หะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ ได้กล่าวในหนังสือ “ฟัตหุ้ลบารีย์” เล่มที่ 13 หน้า 253 ว่า ..
فَالْبِدْعَةُ فِىْ عُرْفِ الشَّرْعِ مَذْمُوْمَةٌ ! بِخِلاَفِ اللُّغَةِ فَإِنَّ كُلَّ شَىْءٍ أُحْدِثَ عَلَى غَيْرِ مِثَالٍ سَابِقٍ يُسَمَّى بِدْعَةً، سَوَاءٌ كَانَ مَحْمُوْدًا أَوْ مَذْمُوْمًا
...
“ดังนั้น ความหมายของบิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ (ทั้งหมด) จึงเป็นสิ่งที่ถูกประณาม, ต่างกับความหมายบิดอะฮ์ตามหลักภาษา, .. เพราะทุกๆสิ่งที่ถูกริเริ่มขึ้นมาโดยไม่มีแบบอย่างมาก่อน จะถูกเรียกว่า บิดอะฮ์ (ตามหลักภาษา) ทั้งสิ้น ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องเลว” ...
และอิบนุหะญัร อีกท่าน มีชื่อว่า อิบนุหะญัร อัลหัยตะมีย์
ก็ได้กล่าวอธิบายไว้ในหนังสือ “อัล-ฟะตาวีย์” ของท่าน ดังการอ้างอิงในหนังสือ “อัล-อิบดาอฺ ฟี มะฎอรฺ อัล-อิบติดาอฺ” หน้า 39 ว่า ...
فَإِنَّ الْبِدْعَةَ الشَّرْعِيَّةَ ضَلاَلَةٌ ! كَمَاقَالَ رَسُوْلُ اللَّـهِ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، وَمَنْ قَسَّمَهَا مِنَ الْعُلَمَاءِ إِلَى حَسَنٍ وَغَيْرِحَسَنٍ فَإِنَّمَا قَسَّمَ الْبِدْعَةَ اللُّغَوِيَّةَ، وَمَنْ قَالَ : كُلُّ بِدْعَةٍ ضَلاَلَةٌ .. فَمَعْنَاهُ الْبِدْعَةُ الشَّرْعِيَّةُ ...
“แน่นอน สิ่งบิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ (ทุกอย่าง) เป็นความหลงผิด ! ดังคำกล่าวของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม,
.. นักวิชาการท่านใดที่แบ่งมันออกเป็นบิดอะฮ์หะสะนะฮ์หรือไม่ใช่บิดอะฮ์หะสะนะฮ์ ก็เป็นเพียงการแบ่งมันตามหลักภาษาเท่านั้น ..
และผู้ใดที่กล่าวว่า ทุกๆบิดอะฮ์ เป็นความหลงผิด ความหมายของเขาก็คือ หมายถึงบิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ”-
>>>>>
๑. ท่านนบี ศอ็ลฯ บอกว่า ทุกบิดอะฮคือการหลงผิด ขอถามว่าท่านนบีเป็นวะฮบีย์หรือ?
๒. อัลหาฟิซอิบนุหะญัร อัลอัสเกาะละนีย์ บอกว่า บิดอะฮในทางศาสนาบัญญัติคือ บิดอะฮที่ถูกตำหนิ ขอถามว่า ท่านอิบนุ หะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ เป็นวะฮบีย์หรือ?
๓. อิบนุหะญัร อัลหัยตะมีย์ บอกว่า บิดอะฮในทางศาสนบัญญัติ คือการหลงผิด ขอถามว่า อิบนุหะญัร อัลหัยตะมีย์ เป็นวะฮบีย์หรือ?
อะไรๆก็มาลงที่วะฮบีย ์ พอคนที่ถูกเรียกวะฮบีย์นำเสนอหลักฐานอัลกุรกุรอ่าน หรือ หลักฐานจากอัสสุนนะฮ ก็กล่าวหาอีกว่า "เป็นหลักฐานของวะฮบีย์"
ดูๆก็ขำอยู่เหมือนกัน เลยทำให้ไม่ซีเรียส ชี้แจงไปนึกขำไป ดีนะที่นบี ศอ็ลฯ เสียชีวิตไปเป็นพันๆปีแล้ว ถ้าอยู่คงหนีไม่พ้นถูกกล่าวหาว่า "เป็นหัวหน้าวะฮบีย"แน่นอน -วัลอิยาซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب
แครดิต...
อะสัน หมัดอะดั้ม
วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559
วาทกรรมที่สวนทางกับหลักการของมัซฮับ
วาทกรรมที่สวนทางกับหลักการของมัซฮับ
เมื่อมีการกล่าวหาว่า ...
พวกที่คิดว่าตัวเองกลุ่มเดียวเท่านั้นที่ตามนบี โดยการเอาหมดทุกมัสหับ ก้คือพวกที่ตะกับบุ้ร ตัวเองคิดว่าอันไหนที่อิหม่ามชาฟีอีหลักถานอ่อน มันก้ไม่เอา แสดงว่ามันเก่งกว่าอิหม่ามชาฟีอี อันไหนที่อิหม่ามมาลีกีอ่อน มันก้อไม่เอา อันไหนที่หะนาฟีอ่อนมันก้ไม่เอา อันไหนที่หัมบะลีอ่อนมันก้ไม่เอา มันเอาเฉพาะที่สอแหะจากทุกมัสหับ ช่างตะกับบุรจริงๆ มันวิเคราะหลักถานเก่งกว่าอิหม่ามมุตตะหิ้ดสะอีก ถึงได้รุ้ว่า บรรดาอิหม่ามเอาหลักถานอ่อนมาใช้ อย่างนี้เท่ากับว่าบรรดาอิหม่ามวิเคราะไม่เปน พวกมันเลยเลือกวิเคราะเอง ทั้งๆที่มันก้เอาวิชาการมาจากอิหม่ามมัสหับ มันไม่รุ้เหรอว่าอุลามะก้สังกัดมัสหับทั้งน้าน พวกที่หลงทางแต่กลับคิดว่าตัวเองตามนบี วัลอิยาสุบิลลาห
มันไม่รุ้เรื่องการอิจติหาดของอิหม่ามมัสหับเหรอ? เค้าอิจติหาดแล้ว ก้แข็งสำหรับเค้า หรืออิหม่ามอื่นจะว่าอ่อนก้เค้ารุ่นเดียวกัน ส่วนเราอยุ่แบบเจียมตัวดีกว่า อย่าล้ำหน้าอิหม่ามมุจตะหิ้ดปลอดภัยที่สุด ส่วนลูกหาบที่ไม่เคยเรียนกีตาบก้จะถูกพวกนี้จูงได้ง่าย โดยการโฆษนาชวนเชื่อว่าตัวเองคือแนวทางสลัฟ ตัวเองใช้แต่หะดิสสอแหะ ใครไม่เชื่อหะดิสต้องลงนรก แบบนี้แหละคนเอาหว่ามเลยถูกจูงได้ง่าย วัลอิยาสุบิลละ
>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ชี้แจง
ข้างต้นเป็นวาทกรรมที่ นั่งเทียนกล่าวหาโดยไม่ศึกษาหลักการศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักการของการตามมัซฮับ เพราะอิหม่ามมัซฮับ ให้ยึดหลักฐานเป็นหลัก
1. อิหม่ามอบูหะนีฟะฮ กล่าวว่า
لا يحل لأحد أن يأخذ بقولنا ما لم يعلم من أين أخذناه
ไม่อนุญาตแก่บุคคลใดนำคำพูดของเรา สิ่งซึ่งเขาไม่รู้ว่าเราได้เอามันมาจากใหน - หาชิยะฮอิบนุอาบิดีน เล่ม 6 หน้า 293
2. อิหม่ามหม่ามมาลิก กล่าวว่า
إنما أنا بشر أخطأ وأصيب فانظروا في رأيي, فكل ما وافق الكتاب والسنة فخذوا به, وكل ما لم يوافق الكتاب والسنة فاتركوه
ความจริง ฉันเป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง มีผิด มีถูก ดังนั้นจงพิจารณษในความเห็นของฉัน แล้วทุกสิ่งที่สอดคล้องกับคัมภีร์(อัลกุรอ่าน)และอัสสุนนะฮ ,พวกท่านจงเอามัน และทุกสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับคัมภีร์และอัสสุนนะฮ พวกท่านจงทิ้งมันเสีย"- บันทึกโดย อิบนุอับดุลบีร ใน อัลญาเมียะ เล่ม เล่ม 2 หน้า 32
3. อิหม่ามชาฟิอี กล่าวว่า
كل ما قلت فكان عن النبي خلاف قولي مما يصح فحديث النبي أولى فلا تقلدوني
ทุกสิ่งที่ฉันพูด ปรากฏว่า สิ่งที่เศาะเฮียะรายงานจากนบี ศอ็ลฯ ขัดแย้งกับคำพูดของฉัน ดังนั้นหะดิษนบีย่อมดีกว่า อย่าเชื่อตามฉัน - บันทึกโดยอบูหาติม ในอาดาบุชชาฟิอีวะมะนสกิบุฮู หน้า 68 ด้วยสายรายงานที่ถูกต้อง
4. อิหม่ามอะหมัด กล่าวว่า
رأي الأوزاعي ورأي مالك ورأي سفيان, كله رأي, وهو عندي سواء, وإنما الحجة في الآثار
ความเห็นของอัลเอาซาอีย์,ความเห็นของมาลิก,ความเห็นของซุฟยาน ทั้งหมดนั้น คือ ความเห็น และในทัศนะของฉัน มันเท่าเทียมกัน (ไม่มีใครเหนือกว่าใคร) และความจริง หลักฐานนั้น อยู่ในบรรดาหะดิษ - รายงานโดย อับดุลบิร ในอัลญาเมียะ เล่ม 2 หน้า 149 ด้วยสายรายงานที่เศาะเฮียะ
........
ข้างต้น บรรดาอิหม่ามทั้งสี่ไม่ได้สอนให้ยึดติดมัซฮับ แต่สอนให้ตามกิตาบุลลอฮ และสุนนะฮนบี ศอ็ลฯ
ท่าน Kalbus Saleem คงไม่เคยศึกษาหลักการตามมัซฮับ โดยเฉพาะมัซฮับของตนเองคือ มัซฮับชาฟิอี (ร.ฮ)
อิหม่ามชาฟิอี (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
أجمع المسلمون على أنَّ مَن استبان له سُنَّةٌ عن رسول الله صلى الله عليه وسلم لم يحل له أنْ يَدَعها لقول أحد
บรรดามุสลิมต่างก็มีมติเอกฉันท์ว่า ผู้ใดที่สุนนะฮจากรซูลุลลอฮ ศอลฯ ได้ปรากฏชัดเจนแก่เขาแล้ว ก็ไม่อนุญาตให้เขาละทิ้งมัน(สุนนะฮ) เพื่อไปเอาคำพูดของคนหนึ่งคนใด
إيقاظ همم أولي الأبصار للاقتداء بسيد المهاجرين والأنصار " (1 / 58) ،
ไม่มีอิหม่ามมุจญตะฮีดคนใดสอนให้ยึดติดกับความเห็นที่เกิดจากการอิจญติฮาด เมือขัดแย้งกับสุนนะฮนบี ศอ็ลฯ
ท่านอิหม่ามนะวาวีย์ระบุในอัลมัจญมัวะว่า
وَكَانَ جَمَاعَةٌ مِنْ مُتَقَدِّمِي أَصْحَابِنَا إذَا رَأَوْا مَسْأَلَةً فِيهَا حَدِيثٌ ، وَمَذْهَبُ الشَّافِعِيِّ خِلَافُهُ عَمِلُوا بِالْحَدِيثِ
และ มีคณะหนึ่งจากสหายของเรายุคก่อน เมื่อพวกเขาเห็นในประเด็นใดมีหะดิษ และมัซฮับชาฟิอีย์ ขัดแย้งกับหะดิษ พวกเขาก็ปฏิบัติตามหะดิษ – ดูอัลมัจญมัวะ เล่ม 1 หน้า 105
กล่าวคือ ประเด็นใด ที่มีหะดิษยืนยัน แต่ขัดแย้งกับทัศนะอิหม่ามชาฟิอี ก็ให้ปฏิบัติตามหะดิษ
ครับ ชัดเจนโดยไม่ต้องใส่แว่น สำหรับผู้มีปัญญา
والله أعلم بالصواب
แครดิต
อะสัน หมัดอะดั้ม
การยืนยันความหมายอายาตสิฟาตตามตัวบทเป็นแนวทางของสะลัฟ
การยืนยันความหมายอายาตสิฟาตตามตัวบทเป็นแนวทางของสะลัฟ
บทนำ...
ในบรรดาโองค์การของอัลกุรอ่านที่เป็นอายัตมุตะชาบิฮาตนั้น
...........................................................................................
ถ้าไม่ตะวี้ล กล่าวคือ อิสบาต(ยืนยัน)ในสิ่งมุสตะฮิ้ลที่เป็นซอฮิ้ร(ผิวเผิน)อายะห์ แล้วมอบหมายรูปแบบให้แก่อัลลอฮซึ่งไม่เหมือนมัคลูก เช่น มือในแบบของอัลลอฮ หลักการนี้ เป็นแนวทางของสลัฟฏอและห์หรือวะบี
.....................................
ชี้แจง
ข้างต้น เป็นการโกหกให้ร้ายแก่กลุ่มที่ถูกเรียกวะฮบีย์ เพราะ การยืนยันคุณลักษณะของอัลลอฮ ตามความหมายที่มีมาในตัวบทนั้น เป็นแนวทางสะลัฟ ส่วนที่คำว่า "อัซซอฮีร" ที่คณะเก่าอาชาอีเราะ แปลว่า ผิวเผิน นั้น เป็นการอุปโลกน์คำแปลจากโต๊ะครูอาชาอิเราะฮคนหนึ่ง เพราะคำว่า "อัซซอฮีร" คือ ความหมายตามภาษาของคำนั้นที่ปรากฏในตัวบท
ยกตัวอย่าง หะดิษนูซูล (หะดิษที่กล่าวถึงทรงเสด็จลงมา) ท่าน อบูสุลัยมัน อัลคิฏอบีย์ (ฮ.ศ 388) อธิบายว่า
هذا الحديث وما أشبهه من الأحاديث في الصفات كان مذهب السلف فيها الإيمان بها، وإجراءها على ظاهرها ونفي الكيفية عنها.
หะดิษนี้ และ สิ่งที่คล้ายคลึงกับมัน จากบรรดาหะดิษสิฟาต ปรากฏว่า มัซฮับสะลัฟ ในมัน(ในบรรดาหะดิษสิฟาต) คือ การศรัทธาด้วยมัน และปล่อยมันให้ดำเนินไปตามความหมายที่ปรากฏของมัน และปฏิเสธการอธิบายรูปแบบวิธีการจากมัน – ดู
الأسماء والصفات للبيهقي (ج2 ص377)
เพราะฉะนั้น คำพูดสะลัฟ ไม่ได้หมายถึงห้ามแปลความหมายในทางภาษา โดยให้อ่านทับศัพท์
ซูฟยาน บิน อุยัยนะฮ(ฮ.ศ 198) กล่าวว่า
كُلُّ شَيْءٍ وَصَفَ اللَّهُ بِهِ نَفْسَهُ فِي الْقُرْآنِ ، فَقِرَاءَتُهُ تَفْسِيرُهُ ، لا كَيْفَ وَلا مِثْلَ
ทุกสิ่งที่อัลอฮ พรรณนาคุณลักษณะแก่ตัวของพระองค์ด้วยมัน การอ่านมัน คือ การอธิบายมัน ไม่มีการถามว่าเป็นอย่างไร และไม่มีการยกตัวอย่างเปรียบเทียบ
كتاب الصفات للدارقطني (ص70)؛ شرح أصول اعتقاد أهل السنة والجماعة للالكائي (ج3 ص431)
อัลอัศบะฮานีย์ (ฮ.ศ 538) อธิบายคำพูดอิบนุอุยัยนะฮว่า
فقراءته تفسيره" أي هو على ظاهره لا يجوز صرفه إلى المجاز بنوع من التأويل
การอ่านของมัน คือการตัฟสีรมัน หมายถึง มันอยู่บนความหมายที่ปรากฏของมัน ไม่อนุญาตให้ผันมันไปสู่ความหมายเชิงอุปมา (มะญาซ) ด้วยชนิดใดๆ จากการตีความ
العلو للعلي الغفار للذهبي (ص263)؛ وكتاب العرش له (ج2 ص359-360
มาดูอิหม่ามอัซซะฮะบีย์อาธิบายดังนี้
وكما قال سفيان وغيره "قراءتها تفسيرها"، يعني أنها بينة واضحة في اللغة، لا يبتغى بها مضائق التأويل والتحريف. وهذا هو مذهب السلف مع إتفاقهم أيضا أنها لا تُشْبِه صفات البشر بوجه إذ الباري لا مثل له لا في ذاته ولا في صفاته
และดังที่ ซูฟยานและอื่นจากเขา กล่าวว่า “การอ่านมัน คือ การตัฟสีรมัน หมายถึง แท้จริงมันมีความหมายชัดเจน และแจ่มแจ้งในทางภาษา และไม่สมควร ทำให้ยุ่งยากด้วยการตีความและเปลี่ยนแปลงความหมาย และนี้คือ แนวทางของสะลัฟ พร้อมทั้งการเห็นฟ้องของพวกเขา อีกว่า ไม่คล้ายคลึงกับ บรรดาลักษณะของมนุษย์ จะด้วยทางใดๆ (ก็ตาม) เพราะ พระผู้ทรงสร้าง ไม่มีตัวอย่างเปรียบเทียบใดๆสำหรับพระองค์ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับซาตของพระองค์ และ ไม่ว่าเกี่ยวกับบรรดาคุณลักษณะของพระองค์ก็ตาม –ดู อัลอุลูวีย ลิอะลียิลฆอฟฟาร หน้า 251
และการยืนยันสิฟัตอัลลอฮตามตัวบท ไม่ถือว่า เป็นการนำอัลลอฮตาอาลาไปเปรียบกับมัคลูค
ดังที่ปราชญ์ยุคสะลัฟยืนยันไว้คือ
وَقَالَ نُعَيْمُ بْنُ حَمَّادٍ : مَنْ شَبَّهَ اللَّهَ بِشَيْءٍ مِنْ خَلْقِهِ فَقَدْ كَفَرَ ، وَمَنْ أَنْكَرَ مَا وَصَفَ اللَّهُ بِهِ نَفْسَهُ فَقَدْ كَفَرَ ، وَلَيْسَ فِيمَا وَصَفَ اللَّهُ بِهِ نَفْسَهُ وَلَا رَسُولُهُ تَشْبِيهٌ
และ นุอัยมฺ บิน หัมมาด กล่าวว่า “ ผู้ใดเปลียบเทียบอัลลอฮ ว่าคล้ายคลึงด้วยสิ่งใดๆจากมัคลูคของพระองค์ แน่นอน เขาเป็นกุฟุร และผู้ใด ปฏิเสธ สิ่งที่อัลลอฮทรงพรรณนาคุณลักษณะแก่ตัวของพระองค์เองด้วยมัน แน่นอนเขาเป็นกุฟุร และ สิ่งที่อัลลอฮ ทรงพรรณนาคุณลักษณะแก่ตัวของพระองค์เองด้วยมันและสิ่งที่รอซูลของพระองค์ (พรรณนาคุณลักษณะแก่พระองค์ด้วยมัน)นั้น ไม่ใช่เป็นการตัชบีฮ(หมายถึงไม่ใช่เป็นเปรียบเทียบว่าอัลลอฮคล้ายคลึงกับมัคลูค) – ดู ชัรหุอะกีดะฮอัฏเฎาะหาวียะฮ เล่ม หน้า 85 และ ดู ชัรหุอุศูลเอียะติกอด อะฮลิสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ เล่ม 2 หน้า 532 หะดิษหมายเลข 936
บางคนยึดอะกีดะฮตามแนวอะฮลุลกาลาม หรือนักวิภาษวิทยา แต่ดันมาอ้างว่า ตนเชียวชาญแนวทางสะลัฟ แล้วนั่งเทียนสอนคนแบบผิดๆ แถมใส่ร้ายคนอื่น
والله أعلم بالصواب
แครดิต...
อะสัน หมัดอะดั้ม
การอ่านตัลกีนคนตายในหลุมศพ เป็นสุนัตจริงหรือ
การอ่านตัลกีนคนตายในหลุมศพ เป็นสุนัตจริงหรือ
คณะเก่ามักจะอ้างว่า......
ผู้ที่ถูกฝังในกุบุรนั้น อัลลอหตาอาลาจะให้พวกเขามีชีวิตอยูในอีกรูปแบบหนึ่ง เพื่อที่จะถูกสอบถามจากมาลาอีกะห์ มุงกัร นากีร ท่านอนัส บิน มาเล็ก ได้กล่าวว่า..
قال رسول الله صل الله عليه وسلم: ان الميت اذاوضع فى قبره انه ليسمع خفق نعالهم اذاانصرفوا..
" ท่านรอซุลลุลเลาะห์ ได้กล่าวว่า. แท้จริงมัยยิดนั้น เมือถูกวางลงในกุบุร เขาจะได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของรองเท้าของพวกเขา เมื่อพวกเขสได้เดินกลับไป....
ฮาดิษท่านอุษมาน บิน อัฟฟาน รอฏิยัลลลอฮุอัน. กล่าวว่า....
كان النبى صلى الله عليه وسلم...اذافرغ من دفن الميت وقف عليه فقال استغفروالاءخيكم وسلواله التثبيت فاءنه الان يساءل....
" ท่านนนบี ซอลลัลลฮุอาลัยฮีวาซัลลัม เมื่อท่านได้เสร้จสิ้นจากการฝังมัยยิต ท่านก็จะยืนต่อหน้าหลุมฝังมัยยิด แล้วกล่าวว่า...พวกท่านจงอิสติฆฟาร ขอดุอาต่ออัลลลอหให้อภัยโทษ.ต่อพี่น้องของท่าน และพวกท่านจะวิงวอนจอให้เขามีคำพูดที่มั่นคง ในการตอบกับมาลาอีกะห์มุงกัรนากิร เพราะขณะนั้นเบากำลังถูกถาม...
..ท่านอิบนุตัยยมียะห์ถูกถามเกี่ยวกับเรื่องการรอ่านตัลกีนมัยยิดที่เป็นผู้ใหญ่และเด็ก. ท่านตอบบว่า...บรรดาซฮาบัตกลุ่มหนึ่งได้กระทำการอ่านตัลกีน. เช่น ท่านอาบูอุมามะห์ อัลบาฮีลีย์ ท่านอัลวาษิละห์ และซอฮาบะห์ อื่นๆ และมีสายรายงานว่าสานุศิษยของอิหม่าม อะห์หมัดบางส่วน ถือ ว่าการอาานตัลกีนเป็นสุนัต...
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ชี้แจง
คำว่า "สุนัต" ตามนิยามนักกฏหมายอิสลาม(ฟุเกาะฮาอฺ) คือ
وهو ما يُثابُ فاعلُهُ ولا يُعاقبُ تاركُهُ
คือ สิ่งที่ผู้ปฏิบัติมัน จะได้รับผลบุญและผู้ที่ละทิ้งมัน จะไม่ถูกลงโทษ
.............
ข้อควรพิจารณา
ผลบุญผู้นั้น ผู้ตอบแทนและเป็นเจ้าของ คืออัลลอฮ ตาอาลา แล้วถ้าอัลลอฮและรอซูล ศอ็ลฯ ไม่ได้บัญญัติไว้ให้ปฏิบัติ แล้วใครรับประกันว่า ได้บุญ ใครรับประกันว่า จะเกิดประโยชน์กับผู้ตายในหลุม เมื่อเขาถูกสอนคำตอบที่ไว้ตอบคำถามของมลาอิกะฮ
หะดิษที่เกี่ยวกับการอ่านตัลกีน โดยตรง ที่มักเอามาอ้างกัน เป็นหะดิษเฎาะอีฟ และนักวิชาการบางท่านบอกว่า เป็นหะดิษปลอม
มีผู้วิจารณ์หะดิษตัลกีนดังนี้
1. อัลอิซ บิน อับดุสสลาม กล่าวว่า "
لم يصح في التلقين شيء وهو بدعة
ไม่มี (หะดีษ) ที่เศาะหีหฺในเรื่องตัลกีนแม้แต่หะดีษเดียว และมันคือ (การกระทำที่) บิดอะฮฺ (ฟะตาวาอัลอิซ บิน อับดุสสลาม หน้า 427)
2. เจ้าของหนังสือเอานุลมะอฺบูด กล่าวว่า
والتلقين بعد الموت قد جزم كثير أنه حادث
และการอ่านตัลกีนหลังจากเสียชีวิต แท้จริงได้มีอุละมาอฺจำนวนมากยืนยันว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ (8/268)
3. ศ็อนอานีย์ไม่ได้พูดลอยๆ แต่ท่านยังอ้างว่ามีระบุในหนังสืออัลมะนารด้วยว่า
إن حديث التلقين لا يشك أهل المعرفة بالحديث في وضعه
แท้จริง หะดีษตัลกีน บรรดาผู้รู้เกี่ยวกับหะดีษไม่สงสัยเลยถึงความเป็นหะดีษเมาฎูอฺของมัน (สุบุลุสสลาม 2/113)
4. อิหม่ามนะวาวีย์กล่าวว่า
"إسناده ضعيف
?สายสืบของมัน เฎาะอีฟ - อัลมัจญมัวะ (5/274)
5. อัศศอนอานีย์ กล่าวว่า
"يتحصل من كلام أئمة التحقيق أنه حديث ضعيف، والعمل به بدعة
และอัศศอ็นอานีย ได้กล่าว ว่า
"สรุปจากคำพูดของบรรดาผู้นำที่ได้รับการรับรอง ว่า แท้จริง มันเป็นหะดิษเฎาะอีฟ และการนำมันมาปฏิบัตินั้น เป็นบิดอะฮ - สุบุลุสสลาม 2/161
6. อิบนุกอ็ยยิม กล่าวว่า
ولم يكن يجلس - أي رسول الله صلى الله عليه وسلم - يقرأ عند القبر ولا يلقن الميت كما يفعله الناس اليوم ] زاد المعاد 1/522
และไม่ประกฎว่า ท่าน หมายถึงท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อ่าน(อัลกุรอ่าน) ณ ทีหลุมศพ และท่านไม่ได้อ่านตัลกีนแก่มัยยิต ดังที่ผู้คนในปัจจุบันทำกัน ? ซาดุ้ลมะอาด 1/522
ท่านอิบนุกอ็ยยิม กล่าวว่า
بيد أن هذا الحديث متفق على ضعفه و لا تقوم به حجة أبداً فضلاً عن أنه يعارض حديث أصح منه و الذي رواه الإمام البخاري عليه رحمه الله تعالى
อย่างไรก็ตาม หะดิษนี้ (หะดิษสอนคนตาย) ได้รับมติเอกฉันท์ว่า เป็นหะดิษเฎาะอีฟ และเอามาอ้างเป็นหลักฐานไม่ได้ตลอดไป ยิ่งไปกว่านั้น แท้จริงมันยังค้านกับหะดิษที่เศาะเฮียะยิ่งกว่า และหะดิษที่รายงานโดยอิหม่ามบุคอรี ขออัลลอฮตะอาลา เมตตาต่อท่าน" - ดูอะอฺลามุลมุวักกิอีน 2/67 , หาชียะฮ อิบนุกอ็ยยิม 3/199
7. หะดิษตัลกีน เป็นหะดิษที่นอกจากหะดิษเฎาะอีฟแล้วบางท่านระบุว่าเป็นหะดิษปลอมด้วยซ้ำ
ดังที่ท่านอัลบานีย์กล่าวว่า
.قلت -- وهذا إسناد ضعيف جداً لم أعرف أحداً منهم غير عتبة بن السكن . قال الدار قطني : متروك الحديث . وقال البيهقي - واهٍ منسوب إلى الوضع
ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า "และนี้เป็นสายรายงานที่อ่อนมาก ข้าพเจ้าไม่รู้จัก(ประวัติ)พวกเขาแม้แต่คนเดียว นอกจากอุตบะอ อิบนุส สะกัน ,อัดดารุ้ลกุฏนีย์กล่าวว่า "เป็นผู้ที่ถูกทอดทิ้งหะดิษของเขา และอัลบัยฮะกีย์กล่าวว่า " (อุตบะฮ) อ่อนมาก ถูกอ้างว่าเป็นผู้ที่ปลอมหะดิษรายหนึ่ง - อัสสิลสิละฮ อัฏเฏาะอีฟะฮ 2/64-65
8. อิหม่ามอัสสะยูฏีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
التلقين لم يثبت فيه حديث صحيح ولا حسن ، بل حديثه ضعيف باتفاق المحدثين ، ولهذا ذهب جمهور الأمة إلى أن التلقين بدعة ، وآخر من أفتى بذلك الشيخ عز الدين بن عبد السلام وإنما استحبه ابن الصلاح وتبعه النووي نظراً إلى أن الحديث الضعيف يتسامح به في فضائل الأعمال
การอ่านตัลกีน ไม่ปรากฏว่ามีหะดิษเศาะเฮียะ และหะดิษฮะซัน ยืนยัน ในนั้น แต่ในทางกลับกัน หะดิษของมัน(การอ่านตัลกีน)เป็นหะดิษเฎาะอีฟ โดยมติเอกฉันท์ของบรรดานักหะดิษ และเพราะเหตุนี้ อุมมะฮส่วนมาก มีทัศนะว่า การอ่านตัลกีนนั้น เป็นบิดอะฮ และท้ายสุดของผู้ที่ฟัตวาด้วยดังกล่าวนั้น(หมายถึงฟัตวาว่าเป็นบิดอะอ) คือ เช็คอิซซุดดีน บุตร อับดุสสลาม และแท้จริง อิบนุศเศาะลาหฺและ อันนะว่าวีย์ได้ตามเขา ถือว่าชอบให้กระทำมัน โดยพิจารณาว่า หะดิษเฏาะอีฟ ได้รับการอนุโลม ในเรื่องบรรดาคุณค่าของอามั้ล - อัลหาวี ลิ้ลฟะตาวา เล่ม 2 หน้า 191
อัศศอ็นอานีย์ กล่าวว่า
قال المصنف إسناده صالح وقد قوّاه الضياء في أحكامه . قلت قال الهيثمي بعد سياقه ما لفظه أخرجه الطبراني في الكبير وفي إسناده جماعة لم أعرفهم . وفي هامشه : فيه عاصم بن عبد الله ضعيف : ثم قال : والراوي عن أبي أمامة سعيد الأزدي بيض له أبو حاتم وقال الأثرم قلت لأحمد بن حنبل : هذا الذي يصنعونه إذا دفن الميت يقف الرجل ويقول : يا فلان ابن فلانة قال : ما رأيت أحداً يفعله إلا أهل الشام حين مات أبو المغيرة
ผู้เรียบเรียงหนังสือ(หมายถึง อิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีย์) กล่าวว่า "สายรายงานของมันดี และอัฎฎิยาอฺ ได้ให้น้ำหนักมัน ใน อะหฺกามของท่าน . และข้าพเจ้า(อัศศอ็นอานีย์)ขอกล่าวว่า "อัลหัยษะมีย์ ได้กล่าวหลังจากอธิบายความหมายของสิ่งที่ได้กล่าวมันเป็นถ้อยคำ ว่า "บันทึกโดยอัฏฏอ็บรอนีย์ ในอัลกะบีร และในสายรายงานของมัน มีผู้รายงานกลุ่มหนึ่ง ข้าพเจ้าไม่รู้จัก .และในขยายความของมัน(ระบุว่า) ในมัน(สายรายงาน) มี อาศิม บุตร อับดุลลอฮ เป็นผู้ที่หลักฐานอ่อน หลังจากนั้น เขาได้กล่าวว่า "และผู้รายงาน จากอบีอะมามะฮ คือ สะอีด อัลอัซดีย์ ซึ่ง อบูหาติมได้คัดลอกชื่อเขาไว้(โดยไม่ได้วิจารณ์) และอัลอัษรอม กล่าวว่า "ข้าพเจ้ากล่าวแก่ อะหมัด บิน หัมบัล ว่า " นี้คือที่พวกเขาทำมันอยู่ เมื่อมัยยิตถูกฝังเรียบร้อยแล้ว ก็จะมีคนหนึ่งยืนขึ้น พร้อมกล่าวว่า "โอ้คนนั้น บุตร คนนั้น... (ท่านมีความเห็นอย่างไร?) ท่านอะหมัดจึงกล่าวว่า " ฉันไม่เคยพบคนใดทำมันเลย นอกจาก ชาวเมืองชาม เมื่อท่านอบูมุฆีเราะฮได้เสียชีวิต - สุบุลุสสลาม 2/72 หะดิษหมายเลข 49 บาบุ้ลญะนาอิซ
................
จากข้อความข้างต้น เห็นได้ชัดเจนว่า การอ่านตัลกีน เป็นประเพณีของชาวเมืองชาม ซึ่งอาจจะอาศัยหะดิษเฎาะอีฟจากอบีอุมามะฮ เป็นหลักฐานก็ได้ เพราะหากเป็นหะดิษเศาะเฮียะแล้ว แน่นอน การปฏิบัติย่อมแพร่หลายในหมูเศาะหาบะฮ โดยเฉพาะเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน ย่อมไม่ละเลยอย่างแน่นอน หากเป็นสุนนะฮของท่านนบีจริง เมื่อเป็นเช่นนี้ จะหุกุมว่า เป็นสุนัตได้อย่างไร
ส่วนหะดิษที่คุณ Az-hary Prasertdam นำมาอ้างข้างต้นทั้งสองบท ไม่เกี่ยวกับการสอนคนตายในหลุมศพเลย เป็นการแอบอ้างเท่านั้น
والله أعلم بالصواب
แครดิต....
อะสัน หมัดอะดั้ม
คณะเก่ามักจะอ้างว่า......
ผู้ที่ถูกฝังในกุบุรนั้น อัลลอหตาอาลาจะให้พวกเขามีชีวิตอยูในอีกรูปแบบหนึ่ง เพื่อที่จะถูกสอบถามจากมาลาอีกะห์ มุงกัร นากีร ท่านอนัส บิน มาเล็ก ได้กล่าวว่า..
قال رسول الله صل الله عليه وسلم: ان الميت اذاوضع فى قبره انه ليسمع خفق نعالهم اذاانصرفوا..
" ท่านรอซุลลุลเลาะห์ ได้กล่าวว่า. แท้จริงมัยยิดนั้น เมือถูกวางลงในกุบุร เขาจะได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของรองเท้าของพวกเขา เมื่อพวกเขสได้เดินกลับไป....
ฮาดิษท่านอุษมาน บิน อัฟฟาน รอฏิยัลลลอฮุอัน. กล่าวว่า....
كان النبى صلى الله عليه وسلم...اذافرغ من دفن الميت وقف عليه فقال استغفروالاءخيكم وسلواله التثبيت فاءنه الان يساءل....
" ท่านนนบี ซอลลัลลฮุอาลัยฮีวาซัลลัม เมื่อท่านได้เสร้จสิ้นจากการฝังมัยยิต ท่านก็จะยืนต่อหน้าหลุมฝังมัยยิด แล้วกล่าวว่า...พวกท่านจงอิสติฆฟาร ขอดุอาต่ออัลลลอหให้อภัยโทษ.ต่อพี่น้องของท่าน และพวกท่านจะวิงวอนจอให้เขามีคำพูดที่มั่นคง ในการตอบกับมาลาอีกะห์มุงกัรนากิร เพราะขณะนั้นเบากำลังถูกถาม...
..ท่านอิบนุตัยยมียะห์ถูกถามเกี่ยวกับเรื่องการรอ่านตัลกีนมัยยิดที่เป็นผู้ใหญ่และเด็ก. ท่านตอบบว่า...บรรดาซฮาบัตกลุ่มหนึ่งได้กระทำการอ่านตัลกีน. เช่น ท่านอาบูอุมามะห์ อัลบาฮีลีย์ ท่านอัลวาษิละห์ และซอฮาบะห์ อื่นๆ และมีสายรายงานว่าสานุศิษยของอิหม่าม อะห์หมัดบางส่วน ถือ ว่าการอาานตัลกีนเป็นสุนัต...
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ชี้แจง
คำว่า "สุนัต" ตามนิยามนักกฏหมายอิสลาม(ฟุเกาะฮาอฺ) คือ
وهو ما يُثابُ فاعلُهُ ولا يُعاقبُ تاركُهُ
คือ สิ่งที่ผู้ปฏิบัติมัน จะได้รับผลบุญและผู้ที่ละทิ้งมัน จะไม่ถูกลงโทษ
.............
ข้อควรพิจารณา
ผลบุญผู้นั้น ผู้ตอบแทนและเป็นเจ้าของ คืออัลลอฮ ตาอาลา แล้วถ้าอัลลอฮและรอซูล ศอ็ลฯ ไม่ได้บัญญัติไว้ให้ปฏิบัติ แล้วใครรับประกันว่า ได้บุญ ใครรับประกันว่า จะเกิดประโยชน์กับผู้ตายในหลุม เมื่อเขาถูกสอนคำตอบที่ไว้ตอบคำถามของมลาอิกะฮ
หะดิษที่เกี่ยวกับการอ่านตัลกีน โดยตรง ที่มักเอามาอ้างกัน เป็นหะดิษเฎาะอีฟ และนักวิชาการบางท่านบอกว่า เป็นหะดิษปลอม
มีผู้วิจารณ์หะดิษตัลกีนดังนี้
1. อัลอิซ บิน อับดุสสลาม กล่าวว่า "
لم يصح في التلقين شيء وهو بدعة
ไม่มี (หะดีษ) ที่เศาะหีหฺในเรื่องตัลกีนแม้แต่หะดีษเดียว และมันคือ (การกระทำที่) บิดอะฮฺ (ฟะตาวาอัลอิซ บิน อับดุสสลาม หน้า 427)
2. เจ้าของหนังสือเอานุลมะอฺบูด กล่าวว่า
والتلقين بعد الموت قد جزم كثير أنه حادث
และการอ่านตัลกีนหลังจากเสียชีวิต แท้จริงได้มีอุละมาอฺจำนวนมากยืนยันว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ (8/268)
3. ศ็อนอานีย์ไม่ได้พูดลอยๆ แต่ท่านยังอ้างว่ามีระบุในหนังสืออัลมะนารด้วยว่า
إن حديث التلقين لا يشك أهل المعرفة بالحديث في وضعه
แท้จริง หะดีษตัลกีน บรรดาผู้รู้เกี่ยวกับหะดีษไม่สงสัยเลยถึงความเป็นหะดีษเมาฎูอฺของมัน (สุบุลุสสลาม 2/113)
4. อิหม่ามนะวาวีย์กล่าวว่า
"إسناده ضعيف
?สายสืบของมัน เฎาะอีฟ - อัลมัจญมัวะ (5/274)
5. อัศศอนอานีย์ กล่าวว่า
"يتحصل من كلام أئمة التحقيق أنه حديث ضعيف، والعمل به بدعة
และอัศศอ็นอานีย ได้กล่าว ว่า
"สรุปจากคำพูดของบรรดาผู้นำที่ได้รับการรับรอง ว่า แท้จริง มันเป็นหะดิษเฎาะอีฟ และการนำมันมาปฏิบัตินั้น เป็นบิดอะฮ - สุบุลุสสลาม 2/161
6. อิบนุกอ็ยยิม กล่าวว่า
ولم يكن يجلس - أي رسول الله صلى الله عليه وسلم - يقرأ عند القبر ولا يلقن الميت كما يفعله الناس اليوم ] زاد المعاد 1/522
และไม่ประกฎว่า ท่าน หมายถึงท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อ่าน(อัลกุรอ่าน) ณ ทีหลุมศพ และท่านไม่ได้อ่านตัลกีนแก่มัยยิต ดังที่ผู้คนในปัจจุบันทำกัน ? ซาดุ้ลมะอาด 1/522
ท่านอิบนุกอ็ยยิม กล่าวว่า
بيد أن هذا الحديث متفق على ضعفه و لا تقوم به حجة أبداً فضلاً عن أنه يعارض حديث أصح منه و الذي رواه الإمام البخاري عليه رحمه الله تعالى
อย่างไรก็ตาม หะดิษนี้ (หะดิษสอนคนตาย) ได้รับมติเอกฉันท์ว่า เป็นหะดิษเฎาะอีฟ และเอามาอ้างเป็นหลักฐานไม่ได้ตลอดไป ยิ่งไปกว่านั้น แท้จริงมันยังค้านกับหะดิษที่เศาะเฮียะยิ่งกว่า และหะดิษที่รายงานโดยอิหม่ามบุคอรี ขออัลลอฮตะอาลา เมตตาต่อท่าน" - ดูอะอฺลามุลมุวักกิอีน 2/67 , หาชียะฮ อิบนุกอ็ยยิม 3/199
7. หะดิษตัลกีน เป็นหะดิษที่นอกจากหะดิษเฎาะอีฟแล้วบางท่านระบุว่าเป็นหะดิษปลอมด้วยซ้ำ
ดังที่ท่านอัลบานีย์กล่าวว่า
.قلت -- وهذا إسناد ضعيف جداً لم أعرف أحداً منهم غير عتبة بن السكن . قال الدار قطني : متروك الحديث . وقال البيهقي - واهٍ منسوب إلى الوضع
ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า "และนี้เป็นสายรายงานที่อ่อนมาก ข้าพเจ้าไม่รู้จัก(ประวัติ)พวกเขาแม้แต่คนเดียว นอกจากอุตบะอ อิบนุส สะกัน ,อัดดารุ้ลกุฏนีย์กล่าวว่า "เป็นผู้ที่ถูกทอดทิ้งหะดิษของเขา และอัลบัยฮะกีย์กล่าวว่า " (อุตบะฮ) อ่อนมาก ถูกอ้างว่าเป็นผู้ที่ปลอมหะดิษรายหนึ่ง - อัสสิลสิละฮ อัฏเฏาะอีฟะฮ 2/64-65
8. อิหม่ามอัสสะยูฏีย์ (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
التلقين لم يثبت فيه حديث صحيح ولا حسن ، بل حديثه ضعيف باتفاق المحدثين ، ولهذا ذهب جمهور الأمة إلى أن التلقين بدعة ، وآخر من أفتى بذلك الشيخ عز الدين بن عبد السلام وإنما استحبه ابن الصلاح وتبعه النووي نظراً إلى أن الحديث الضعيف يتسامح به في فضائل الأعمال
การอ่านตัลกีน ไม่ปรากฏว่ามีหะดิษเศาะเฮียะ และหะดิษฮะซัน ยืนยัน ในนั้น แต่ในทางกลับกัน หะดิษของมัน(การอ่านตัลกีน)เป็นหะดิษเฎาะอีฟ โดยมติเอกฉันท์ของบรรดานักหะดิษ และเพราะเหตุนี้ อุมมะฮส่วนมาก มีทัศนะว่า การอ่านตัลกีนนั้น เป็นบิดอะฮ และท้ายสุดของผู้ที่ฟัตวาด้วยดังกล่าวนั้น(หมายถึงฟัตวาว่าเป็นบิดอะอ) คือ เช็คอิซซุดดีน บุตร อับดุสสลาม และแท้จริง อิบนุศเศาะลาหฺและ อันนะว่าวีย์ได้ตามเขา ถือว่าชอบให้กระทำมัน โดยพิจารณาว่า หะดิษเฏาะอีฟ ได้รับการอนุโลม ในเรื่องบรรดาคุณค่าของอามั้ล - อัลหาวี ลิ้ลฟะตาวา เล่ม 2 หน้า 191
อัศศอ็นอานีย์ กล่าวว่า
قال المصنف إسناده صالح وقد قوّاه الضياء في أحكامه . قلت قال الهيثمي بعد سياقه ما لفظه أخرجه الطبراني في الكبير وفي إسناده جماعة لم أعرفهم . وفي هامشه : فيه عاصم بن عبد الله ضعيف : ثم قال : والراوي عن أبي أمامة سعيد الأزدي بيض له أبو حاتم وقال الأثرم قلت لأحمد بن حنبل : هذا الذي يصنعونه إذا دفن الميت يقف الرجل ويقول : يا فلان ابن فلانة قال : ما رأيت أحداً يفعله إلا أهل الشام حين مات أبو المغيرة
ผู้เรียบเรียงหนังสือ(หมายถึง อิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีย์) กล่าวว่า "สายรายงานของมันดี และอัฎฎิยาอฺ ได้ให้น้ำหนักมัน ใน อะหฺกามของท่าน . และข้าพเจ้า(อัศศอ็นอานีย์)ขอกล่าวว่า "อัลหัยษะมีย์ ได้กล่าวหลังจากอธิบายความหมายของสิ่งที่ได้กล่าวมันเป็นถ้อยคำ ว่า "บันทึกโดยอัฏฏอ็บรอนีย์ ในอัลกะบีร และในสายรายงานของมัน มีผู้รายงานกลุ่มหนึ่ง ข้าพเจ้าไม่รู้จัก .และในขยายความของมัน(ระบุว่า) ในมัน(สายรายงาน) มี อาศิม บุตร อับดุลลอฮ เป็นผู้ที่หลักฐานอ่อน หลังจากนั้น เขาได้กล่าวว่า "และผู้รายงาน จากอบีอะมามะฮ คือ สะอีด อัลอัซดีย์ ซึ่ง อบูหาติมได้คัดลอกชื่อเขาไว้(โดยไม่ได้วิจารณ์) และอัลอัษรอม กล่าวว่า "ข้าพเจ้ากล่าวแก่ อะหมัด บิน หัมบัล ว่า " นี้คือที่พวกเขาทำมันอยู่ เมื่อมัยยิตถูกฝังเรียบร้อยแล้ว ก็จะมีคนหนึ่งยืนขึ้น พร้อมกล่าวว่า "โอ้คนนั้น บุตร คนนั้น... (ท่านมีความเห็นอย่างไร?) ท่านอะหมัดจึงกล่าวว่า " ฉันไม่เคยพบคนใดทำมันเลย นอกจาก ชาวเมืองชาม เมื่อท่านอบูมุฆีเราะฮได้เสียชีวิต - สุบุลุสสลาม 2/72 หะดิษหมายเลข 49 บาบุ้ลญะนาอิซ
................
จากข้อความข้างต้น เห็นได้ชัดเจนว่า การอ่านตัลกีน เป็นประเพณีของชาวเมืองชาม ซึ่งอาจจะอาศัยหะดิษเฎาะอีฟจากอบีอุมามะฮ เป็นหลักฐานก็ได้ เพราะหากเป็นหะดิษเศาะเฮียะแล้ว แน่นอน การปฏิบัติย่อมแพร่หลายในหมูเศาะหาบะฮ โดยเฉพาะเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน ย่อมไม่ละเลยอย่างแน่นอน หากเป็นสุนนะฮของท่านนบีจริง เมื่อเป็นเช่นนี้ จะหุกุมว่า เป็นสุนัตได้อย่างไร
ส่วนหะดิษที่คุณ Az-hary Prasertdam นำมาอ้างข้างต้นทั้งสองบท ไม่เกี่ยวกับการสอนคนตายในหลุมศพเลย เป็นการแอบอ้างเท่านั้น
والله أعلم بالصواب
แครดิต....
อะสัน หมัดอะดั้ม
วิกฤตความขัดแย้งของบรรดาผู้รู้ที่คนอาวามไม่ควรนิ่งเฉย
วิกฤตความขัดแย้งของบรรดาผู้รู้ที่คนอาวามไม่ควรนิ่งเฉย
อิสลามนอกจากสอนให้มุสลิมมีความเป็นเอกภาพ และมีความสามัคคีบนคำสอนอิสลาม ดังที่อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
وَاعْتَصِمُوا بِحَبْلِ اللَّهِ جَمِيعًا وَلَا تَفَرَّقُوا ۚ
และพวกเจ้าจงยึดสายเชือก ของอัลลอฮ์โดยพร้อมกันทั้งหมดและจงอย่าแตกแยกกัน
وقوله : ( واعتصموا بحبل الله جميعا ولا تفرقوا ) قيل ( بحبل الله ) أي : بعهد الله ، كما قال في الآية بعدها : ( ضربت عليهم الذلة أينما ثقفوا إلا بحبل من الله وحبل من الناس ) [ آل عمران : 112 ] أي بعهد وذمة وقيل : ( بحبل من الله ) يعني : القرآن ، كما في حديث الحارث الأعور ، عن علي مرفوعا في صفة القرآن : " هو حبل الله المتين ، وصراطه المستقيم " .
และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (และพวกเจ้าจงยึดสายเชือก ของอัลลอฮ์โดยพร้อมกันทั้งหมดและจงอย่าแตกแยกกัน ) มีผู้กล่าวว่า (ด้วยสายเชือกอัลลอฮ)หมายถึง ด้วยพันธสัญญาแห่งอัลลอฮ ดังที่พระองค์ตรัส ในอายะฮหลังจากนั้นว่า (
ضُرِبَتْ عَلَيْهِمُ الذِّلَّةُ أَيْنَ مَا ثُقِفُوا إِلَّا بِحَبْلٍ مِّنَ اللَّهِ وَحَبْلٍ مِّنَ النَّاسِ
ความต่ำช้าได้ถูกฟาดลงบนพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเขาถูกพบ นอกจากด้วยสายเชือกจากอัลลอฮ์ และสายเชือกจากมนุษย์ -อาลิอิมรอน/12 หมายถึง พันธสัญญา และความรับผิดชอบ และมีผู้กล่าวว่า (ด้วยสายเชือกของอัลลอฮ) หมายถึง อัลกุรอ่าน ดังระบุในหะดิษอัลหาริษอัลอะวัร รายงานจากอาลี เป็นหะดิษมัรฟัวะ ในคุณลักษณะของอัลกุรอ่านว่า มันคือ สายเชือกของอัลลอฮที่มั่นคง และเป็นหนทางของพระองค์ที่เที่ยงตรง - ดูตัฟสีรอิบนุกะษีร ๒/๘๙
....
อายะฮนี้ สอนให้มีความเป็นเอกภาพ สามัคคีกัน บน การยึดมั่นในศาสนาหรือ อัลกุรอ่าน หากมุสลิมไม่ยึดคำสอนศาสนา ซึ่งหมายถึงคำสอนที่มาจากเจ้าของศาสนา นั้นคือ คำสอนของอัลลอฮ โดยผ่านการอธิบายและแบบอย่างของศาสดามุหัมหมัด ศอ็ลฯ แน่นอนความเป็นเอกภาพย่อมจะไม่เกิด แม้จะป่าวประกาศหรือตะโกนเรียกร้องจนสุดเสียงและหมดเสียงก็ตาม
อีกประการหนึ่งคือ เมื่อบรรดาผู้รู้ หรืออุลามาอ์ ซึ่งเป็นผู้นำของคนอาวาม เมื่อมีความเห็นต่างกันเกี่ยวกับประเด็นต่างๆที่เกี่ยวกับศาสนา, อิสลามก็ได้กำหนดกติกาไว้แล้ว เพื่อรักษาไว้ซึ่งความเป็นเอกภาพคือ
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ أَطِيعُواْ اللّهَ وَأَطِيعُواْ الرَّسُولَ وَأُوْلِي الأَمْرِ مِنكُمْ فَإِن تَنَازَعْتُمْ فِي شَيْءٍ فَرُدُّوهُ إِلَى اللّهِ وَالرَّسُولِ إِن كُنتُمْ تُؤْمِنُونَ بِاللّهِ وَالْيَوْمِ الآخِرِ ذَلِكَ خَيْرٌ وَأَحْسَنُ تَأْويْلاً (النِّساء/59)
“ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮ์ และเชื่อฟังเราะสูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮ์ และเราะสูล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง”-อันนิสาอ/๕๙
......
เพราะฉะนั้นหากผู้รู้ยังคงถือทิฐิ รักษาผลประโยชน์ของตัวเองและหมู่คณะ ไม่ยอมปฏิบัติตามกติกาของอัลลอฮ คำว่า "เอกภาพในสังคมมุสลิม" มันใกลเกินที่จะฝันและเป็นไปได้อยากในความเป็นจริง
ในขณะเดียวกัน อิสลามสอนให้ยึดมันในความเป็นภราดรภาพหรือความเป็นพี่น้องในระหว่างมุสลิม ดังที่อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
إِنَّمَا الْمُؤْمِنُونَ إِخْوَةٌ فَأَصْلِحُوا بَيْنَ أَخَوَيْكُمْ وَاتَّقُوا اللَّهَ لَعَلَّكُمْ تُرْحَمُونَ (سورة الحجرات: 10)
ความว่า “แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธานั้นเป็นพี่น้องกัน ดังนั้นพวกเจ้าจงไกล่เกลี่ยประนีประนอมกันระหว่างพี่น้องทั้งสองฝ่ายของพวกเจ้า และจงยำเกรงต่ออัลลอฮฺเถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา”-อัลหุญะรอต/๑๐
.....
จากอายะฮข้างต้น ในปัจจุบัน อย่าว่าแต่คนอาวาม ชาวบ้านตาสี ตาสา เลย แม้แต่นักวิชาการ ที่คำก็บอกว่าตามอัลกุรอ่าน คำ ก็บอกว่าตามสุนนะฮนบี
ยังปฏิบัติกันไม่ได้เลย เมื่อมีความเห็นต่างก็ทำสงครามน้ำลายใส่กัน แย่งชิงพื้นที่และมวลชน จนไม่เหลื่อความเป็นพี่น้องในอิสลาม อีกทั้งทำให้คนอาวามที่ตะอัศศุบกับผู้รู้ แตกแยกกันไปด้วย -นะอูซุบิลละฮ
........
จึงใคร่ขอความกรุณาพี่น้องทั้งหลายว่า ทุกวันนี้ เรานับถือศาสนาเพื่ออัลลอฮหรือเพื่อใคร หากเพื่ออัลลอฮ ก็จงถอยออกมาจากความขัดแย้ง แล้วหาวิธีการและเรียกร้องให้ผู้รู้ ผู้นำที่ขัดแย้งกัน หันหน้าเข้ามาคุยกันให้ได้ หากเขายังดันทุรัง ก็จงอย่าให้มีเวทีสำหรับผู้รู้ฟิตนะฮ ไม่อย่างนั้น ฟิตนะในหมู่ผู้รู้ ที่มีผลต่อคนอาวามจะบานปลายออกไป จนทำให้คนรุ่นหลังเบื่อหน่ายกับการศึกษาศาสนาในที่สุด เพราะไม่รู้จะตามใครดี ส่วนคนที่ศึกษาศาสนาก็แบ่งค่ายตีกันฟิตนะฮใส่กันไม่รู้จักจบสิ้น
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
อิสลามนอกจากสอนให้มุสลิมมีความเป็นเอกภาพ และมีความสามัคคีบนคำสอนอิสลาม ดังที่อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
وَاعْتَصِمُوا بِحَبْلِ اللَّهِ جَمِيعًا وَلَا تَفَرَّقُوا ۚ
และพวกเจ้าจงยึดสายเชือก ของอัลลอฮ์โดยพร้อมกันทั้งหมดและจงอย่าแตกแยกกัน
وقوله : ( واعتصموا بحبل الله جميعا ولا تفرقوا ) قيل ( بحبل الله ) أي : بعهد الله ، كما قال في الآية بعدها : ( ضربت عليهم الذلة أينما ثقفوا إلا بحبل من الله وحبل من الناس ) [ آل عمران : 112 ] أي بعهد وذمة وقيل : ( بحبل من الله ) يعني : القرآن ، كما في حديث الحارث الأعور ، عن علي مرفوعا في صفة القرآن : " هو حبل الله المتين ، وصراطه المستقيم " .
และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (และพวกเจ้าจงยึดสายเชือก ของอัลลอฮ์โดยพร้อมกันทั้งหมดและจงอย่าแตกแยกกัน ) มีผู้กล่าวว่า (ด้วยสายเชือกอัลลอฮ)หมายถึง ด้วยพันธสัญญาแห่งอัลลอฮ ดังที่พระองค์ตรัส ในอายะฮหลังจากนั้นว่า (
ضُرِبَتْ عَلَيْهِمُ الذِّلَّةُ أَيْنَ مَا ثُقِفُوا إِلَّا بِحَبْلٍ مِّنَ اللَّهِ وَحَبْلٍ مِّنَ النَّاسِ
ความต่ำช้าได้ถูกฟาดลงบนพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเขาถูกพบ นอกจากด้วยสายเชือกจากอัลลอฮ์ และสายเชือกจากมนุษย์ -อาลิอิมรอน/12 หมายถึง พันธสัญญา และความรับผิดชอบ และมีผู้กล่าวว่า (ด้วยสายเชือกของอัลลอฮ) หมายถึง อัลกุรอ่าน ดังระบุในหะดิษอัลหาริษอัลอะวัร รายงานจากอาลี เป็นหะดิษมัรฟัวะ ในคุณลักษณะของอัลกุรอ่านว่า มันคือ สายเชือกของอัลลอฮที่มั่นคง และเป็นหนทางของพระองค์ที่เที่ยงตรง - ดูตัฟสีรอิบนุกะษีร ๒/๘๙
....
อายะฮนี้ สอนให้มีความเป็นเอกภาพ สามัคคีกัน บน การยึดมั่นในศาสนาหรือ อัลกุรอ่าน หากมุสลิมไม่ยึดคำสอนศาสนา ซึ่งหมายถึงคำสอนที่มาจากเจ้าของศาสนา นั้นคือ คำสอนของอัลลอฮ โดยผ่านการอธิบายและแบบอย่างของศาสดามุหัมหมัด ศอ็ลฯ แน่นอนความเป็นเอกภาพย่อมจะไม่เกิด แม้จะป่าวประกาศหรือตะโกนเรียกร้องจนสุดเสียงและหมดเสียงก็ตาม
อีกประการหนึ่งคือ เมื่อบรรดาผู้รู้ หรืออุลามาอ์ ซึ่งเป็นผู้นำของคนอาวาม เมื่อมีความเห็นต่างกันเกี่ยวกับประเด็นต่างๆที่เกี่ยวกับศาสนา, อิสลามก็ได้กำหนดกติกาไว้แล้ว เพื่อรักษาไว้ซึ่งความเป็นเอกภาพคือ
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ أَطِيعُواْ اللّهَ وَأَطِيعُواْ الرَّسُولَ وَأُوْلِي الأَمْرِ مِنكُمْ فَإِن تَنَازَعْتُمْ فِي شَيْءٍ فَرُدُّوهُ إِلَى اللّهِ وَالرَّسُولِ إِن كُنتُمْ تُؤْمِنُونَ بِاللّهِ وَالْيَوْمِ الآخِرِ ذَلِكَ خَيْرٌ وَأَحْسَنُ تَأْويْلاً (النِّساء/59)
“ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮ์ และเชื่อฟังเราะสูลเถิด และผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย แต่ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮ์ และเราะสูล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง”-อันนิสาอ/๕๙
......
เพราะฉะนั้นหากผู้รู้ยังคงถือทิฐิ รักษาผลประโยชน์ของตัวเองและหมู่คณะ ไม่ยอมปฏิบัติตามกติกาของอัลลอฮ คำว่า "เอกภาพในสังคมมุสลิม" มันใกลเกินที่จะฝันและเป็นไปได้อยากในความเป็นจริง
ในขณะเดียวกัน อิสลามสอนให้ยึดมันในความเป็นภราดรภาพหรือความเป็นพี่น้องในระหว่างมุสลิม ดังที่อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
إِنَّمَا الْمُؤْمِنُونَ إِخْوَةٌ فَأَصْلِحُوا بَيْنَ أَخَوَيْكُمْ وَاتَّقُوا اللَّهَ لَعَلَّكُمْ تُرْحَمُونَ (سورة الحجرات: 10)
ความว่า “แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธานั้นเป็นพี่น้องกัน ดังนั้นพวกเจ้าจงไกล่เกลี่ยประนีประนอมกันระหว่างพี่น้องทั้งสองฝ่ายของพวกเจ้า และจงยำเกรงต่ออัลลอฮฺเถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความเมตตา”-อัลหุญะรอต/๑๐
.....
จากอายะฮข้างต้น ในปัจจุบัน อย่าว่าแต่คนอาวาม ชาวบ้านตาสี ตาสา เลย แม้แต่นักวิชาการ ที่คำก็บอกว่าตามอัลกุรอ่าน คำ ก็บอกว่าตามสุนนะฮนบี
ยังปฏิบัติกันไม่ได้เลย เมื่อมีความเห็นต่างก็ทำสงครามน้ำลายใส่กัน แย่งชิงพื้นที่และมวลชน จนไม่เหลื่อความเป็นพี่น้องในอิสลาม อีกทั้งทำให้คนอาวามที่ตะอัศศุบกับผู้รู้ แตกแยกกันไปด้วย -นะอูซุบิลละฮ
........
จึงใคร่ขอความกรุณาพี่น้องทั้งหลายว่า ทุกวันนี้ เรานับถือศาสนาเพื่ออัลลอฮหรือเพื่อใคร หากเพื่ออัลลอฮ ก็จงถอยออกมาจากความขัดแย้ง แล้วหาวิธีการและเรียกร้องให้ผู้รู้ ผู้นำที่ขัดแย้งกัน หันหน้าเข้ามาคุยกันให้ได้ หากเขายังดันทุรัง ก็จงอย่าให้มีเวทีสำหรับผู้รู้ฟิตนะฮ ไม่อย่างนั้น ฟิตนะในหมู่ผู้รู้ ที่มีผลต่อคนอาวามจะบานปลายออกไป จนทำให้คนรุ่นหลังเบื่อหน่ายกับการศึกษาศาสนาในที่สุด เพราะไม่รู้จะตามใครดี ส่วนคนที่ศึกษาศาสนาก็แบ่งค่ายตีกันฟิตนะฮใส่กันไม่รู้จักจบสิ้น
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
ใครคือคนหมู่มากที่ให้ปฏิบัติตาม
ใครคือคนหมู่มากที่ให้ปฏิบัติตาม
เราจะพบว่า มีพี่น้องอาชาอิเราะบางกลุ่ม มักจะอ้างว่า พวกเขาเป็นคนหมู่มาก ต่างกับคนที่ถูกเรียกว่า "วะฮบีย" เขาบอกว่าเป็นชนกลุ่มน้อย วาทกรรมนี้มักจะถูกนำมาอวดอ้างบ่อย
เรามาดูว่า คำว่า คนหมู่มากในมุมมองของนักวิชาการตัวจริงเขาว่าอย่างไร
มุหัมหมัด บิน อัสสลัม อฏฏูสีย์ (เสียชี
วิตปี ฮ.ศ ๒๔๒) กล่าวว่า
عليكم باتباع السواد الأعظم قالوا له من السواد الأعظم، قال: هو الرجل العالم أو الرجلان المتمسكان بسنة رسول الله صلى الله عليه وسلم وطريقته، وليس المراد به مطلق المسلمين، فمن كان مع هذين الرجلين أو الرجل وتبعه فهو الجماعة، ومن خالفه فقد خالف أهل الجماعة
หน้าที่ของพวกท่านจะต้องปฏิบัติตาม "อัสสะวาดุลอะอ.ซอม"(คนกลุ่มใหญ่) พวกเขากล่าวแก่เขา(มุหัมหมัด บิน อัสสลัม อฏฏูสีย์)ว่า ใครคือ "อัสสะวาดุลอะอ.ซอม"? เขากล่าวว่า "คือ คนๆหนึ่งที่เป็นผู้รู้ หรือ หรือ สองคน(ที่เป็นผู้รู้) ที่ยึดถือ สุนนะฮรซูลลุลลอฮ ศอ็ลฯ และแนวทางของท่านรอซูล และ คำว่า "(คนกลุ่มใหญ่)นั้น ไม่ใช่หมายถึง บรรดามุสลิมทั่วๆไป ,ดังนั้น ผู้ใดอยู่พร้อมกับ(หมายถึงปฏิบัติตาม)คนสองคนนี้หรือ คนๆหนึ่งที่ปฏิบัติตามเขา เขาคือ อัลญะมาอะฮ(หมู่คณะ) และผู้ใด ขัดแย้งกับเขา แน่นอนเขาผู้นั้นขัดแย้งกับอัลญะมาอะฮ - อัฏเฏาะกอตอัลกุบรอ ลิชชะอฺรอนีย ๑/๕๔
.......
จะเห็นได้ว่า คำว่า ประชาชนส่วนใหญ่ หรือคนหมู่มากคือ ที่ยึดถือ สุนนะฮรซูลลุลลอฮ ศอ็ลฯ และแนวทางของท่านรอซูล ศอ็ลฯ ไม่ใช่คนหมู่มากที่ ส่งเสริมบิดอะฮ
อิสหาก บิน รอฮะวียะฮ กล่าวว่า
لو سألت الجهال عن السواد الأعظم لقالوا جماعة الناس، ولا يعلمون أن الجماعة عالم متمسك بأثر النبي صلى الله عليه وسلم وطريقه فمن كان معه وتبعه فهو الجماعة
ถ้าท่านถามบรรดาพวกโง่เขลา เกี่ยวกับความหมายคำว่า “ดำใหญ่” พวกเขาก็จะกล่าวว่า “ คือ หมู่คณะของผู้คน(ทั่วไป) และพวกเขาไม่รู้ว่า แท้จริง หมู่คณะ นั้น คือ ผู้รู้ที่ยึดถือ ด้วยร่องรอยของนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และแนวทางของท่านนบี ดังนั้น ผู้ใด อยู่พร้อมกับนบีและปฏิบัติตามท่าน เขาคือ หมู่คณะ(อัลญะมาอะฮ” - บันทึกโดย อบูนะอีม ใน อัลหุลลียะฮ เล่ม 9 หน้า 239
สรุป ความถูกต้อง ไม่ได้วัดกันที่คนปฏิบัติจำนวนมาก และคนจำนวนมากไม่ได้เป็นมาตรฐานวัดความถูกต้องเสมอไปและคำว่า ตามคนหมู่มาก หมายถึงตามผู้ที่ปฏิบัติตามสุนนะฮ ไม่ใช่ปฏิบัติสิ่งที่เป็นบิดอะฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
๒๐/๑/๕๙
เราจะพบว่า มีพี่น้องอาชาอิเราะบางกลุ่ม มักจะอ้างว่า พวกเขาเป็นคนหมู่มาก ต่างกับคนที่ถูกเรียกว่า "วะฮบีย" เขาบอกว่าเป็นชนกลุ่มน้อย วาทกรรมนี้มักจะถูกนำมาอวดอ้างบ่อย
เรามาดูว่า คำว่า คนหมู่มากในมุมมองของนักวิชาการตัวจริงเขาว่าอย่างไร
มุหัมหมัด บิน อัสสลัม อฏฏูสีย์ (เสียชี
วิตปี ฮ.ศ ๒๔๒) กล่าวว่า
عليكم باتباع السواد الأعظم قالوا له من السواد الأعظم، قال: هو الرجل العالم أو الرجلان المتمسكان بسنة رسول الله صلى الله عليه وسلم وطريقته، وليس المراد به مطلق المسلمين، فمن كان مع هذين الرجلين أو الرجل وتبعه فهو الجماعة، ومن خالفه فقد خالف أهل الجماعة
หน้าที่ของพวกท่านจะต้องปฏิบัติตาม "อัสสะวาดุลอะอ.ซอม"(คนกลุ่มใหญ่) พวกเขากล่าวแก่เขา(มุหัมหมัด บิน อัสสลัม อฏฏูสีย์)ว่า ใครคือ "อัสสะวาดุลอะอ.ซอม"? เขากล่าวว่า "คือ คนๆหนึ่งที่เป็นผู้รู้ หรือ หรือ สองคน(ที่เป็นผู้รู้) ที่ยึดถือ สุนนะฮรซูลลุลลอฮ ศอ็ลฯ และแนวทางของท่านรอซูล และ คำว่า "(คนกลุ่มใหญ่)นั้น ไม่ใช่หมายถึง บรรดามุสลิมทั่วๆไป ,ดังนั้น ผู้ใดอยู่พร้อมกับ(หมายถึงปฏิบัติตาม)คนสองคนนี้หรือ คนๆหนึ่งที่ปฏิบัติตามเขา เขาคือ อัลญะมาอะฮ(หมู่คณะ) และผู้ใด ขัดแย้งกับเขา แน่นอนเขาผู้นั้นขัดแย้งกับอัลญะมาอะฮ - อัฏเฏาะกอตอัลกุบรอ ลิชชะอฺรอนีย ๑/๕๔
.......
จะเห็นได้ว่า คำว่า ประชาชนส่วนใหญ่ หรือคนหมู่มากคือ ที่ยึดถือ สุนนะฮรซูลลุลลอฮ ศอ็ลฯ และแนวทางของท่านรอซูล ศอ็ลฯ ไม่ใช่คนหมู่มากที่ ส่งเสริมบิดอะฮ
อิสหาก บิน รอฮะวียะฮ กล่าวว่า
لو سألت الجهال عن السواد الأعظم لقالوا جماعة الناس، ولا يعلمون أن الجماعة عالم متمسك بأثر النبي صلى الله عليه وسلم وطريقه فمن كان معه وتبعه فهو الجماعة
ถ้าท่านถามบรรดาพวกโง่เขลา เกี่ยวกับความหมายคำว่า “ดำใหญ่” พวกเขาก็จะกล่าวว่า “ คือ หมู่คณะของผู้คน(ทั่วไป) และพวกเขาไม่รู้ว่า แท้จริง หมู่คณะ นั้น คือ ผู้รู้ที่ยึดถือ ด้วยร่องรอยของนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และแนวทางของท่านนบี ดังนั้น ผู้ใด อยู่พร้อมกับนบีและปฏิบัติตามท่าน เขาคือ หมู่คณะ(อัลญะมาอะฮ” - บันทึกโดย อบูนะอีม ใน อัลหุลลียะฮ เล่ม 9 หน้า 239
สรุป ความถูกต้อง ไม่ได้วัดกันที่คนปฏิบัติจำนวนมาก และคนจำนวนมากไม่ได้เป็นมาตรฐานวัดความถูกต้องเสมอไปและคำว่า ตามคนหมู่มาก หมายถึงตามผู้ที่ปฏิบัติตามสุนนะฮ ไม่ใช่ปฏิบัติสิ่งที่เป็นบิดอะฮ
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
๒๐/๑/๕๙
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)