วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
อิสลามสอนให้ตามคนส่วนมากจริงหรือ
อิสลามสอนให้ตามคนส่วนมากจริงหรือ
มีผู้อ้างหะดิษต่อไปนี้ว่า เป็นหลักฐานให้ตามคนส่วนมาก คนส่วนมากไม่ผิด คือหะดิษที่ว่า รายงานจากหะดิษอะนัส บิน มาลิกที่ว่า
سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ إِنَّ أُمَّتِي لَا تَجْتَمِعُ عَلَى ضَلَالَةٍ فَإِذَا رَأَيْتُمْ اخْتِلَافًا فَعَلَيْكُمْ بِالسَّوَادِ الْأَعْظَمِ
ข้าพเจ้าได้ยินรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ อุมมะฮของฉันจะไม่รวมกันบนการหลงผิด ดังนั้น เมื่อพวกท่านเห็นการขัดแย้งกัน พวกท่านจงปฏิบัติตาม หมู่คณะส่วนใหญ่ – อิบนุมาญะฮ
>>>>>>>>>>>>>
ชี้แจง
หะดิษข้างต้นเป็นหะดิษเฎาะอีฟ ดังรายละเอียดข้างล่าง
ท่านอัสสะนะดีย์ กล่าวว่า
وَفِي الزَّوَائِدِ فِي إِسْنَادِهِ أَبُو خَلَفٍ الْأَعْمَى وَاسْمُهُ حَازِمُ بْنُ عَطَاءٍ وَهُوَ ضَعِيفٌ وَقَدْ جَاءَ الْحَدِيثُ بِطُرُقٍ فِي كُلِّهَا نَظَرٌ قَالَهُ شَيْخُنَا الْعِرَاقِيُّ فِي تَخْرِيجِ أَحَادِيثِ الْبَيْضَاوِيِّ .
และระบุในหนังสือ อัซซะวาอิด ว่าในสายรายงานของมัน มีผู้รายงานชื่อว่า อบูคอ็ลฟิ อัลอะอฺมา โดยที่ชื่อของเขาคือ หาซิม บิน อะฏออฺ เขาเป็นผู้ที่หลักฐานอ่อน(เฎาะอีฟ) และ หะดิษนี้ได้มีมาด้วยหลายสายรายงาน ในมันทั้งหมดนั้น ต้องพิจารณาให้รอบคอบ อาจารย์ของเรา อัลอิรอกีย์ ได้กล่าวมันเอาไว้ใน ตัคริญิ อะหาดิษ อัลบัยฎอวีย์ – ดู หาชิยะฮอัสสะนะดีย์ หะดิษหมายเลข 3950 بَاب السَّوَادِ الْأَعْظَمِ
อย่างไรก็ตาม เรามาดูว่า “ดำใหญ่ หรือ หมู่คณะส่วนใหญ่ คือใคร
อิสหาก บิน รอฮะวียะฮ กล่าวว่า
لو سألت الجهال عن السواد الأعظم لقالوا جماعة الناس، ولا يعلمون أن الجماعة عالم متمسك بأثر النبي صلى الله عليه وسلم وطريقه فمن كان معه وتبعه فهو الجماعة
ถ้าท่านถามบรรดาพวกโง่เขลา เกี่ยวกับความหมายคำว่า “ดำใหญ่” พวกเขาก็จะกล่าวว่า “ คือ หมู่คณะของผู้คน(ทั่วไป) และพวกเขาไม่รู้ว่า แท้จริง หมู่คณะ นั้น คือ ผู้รู้ที่ยึดถือ ด้วยร่องรอยของนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และแนวทางของท่านนบี ดังนั้น ผู้ใด อยู่พร้อมกับนบีและปฏิบัติตามท่าน เขาคือ หมู่คณะ(อัลญะมาอะฮ” - บันทึกโดย อบูนะอีม ใน อัลหุลลียะฮ เล่ม 9 หน้า 239
อิหม่ามอิบนุกอ็ยยิม ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน กล่าวว่า
واعلم أن الإجماع والحجة والسواد الأعظم هو العالم صاحب الحق , وإن كان وحده وإن خالفه أهل الأرض
พึงรู้ไว้เถิดว่า แท้จริง การลงมติ (อัลอิจญมะอฺ) หลักฐาน และหมู่คณะส่วนใหญ่ คือ ผู้รู้ ที่เป็นผู้อยู่บนความถูกต้อง แม้ว่าเขา เพียงคนเดียวก็ตาม และแม้ชาวโลกจะแตกต่าง(เห็นต่าง)กับเขาก็ตาม – ดู เอียะลามุลมุวักกิอีน เล่ม 3 หน้า 398
>>>>>>>
สรุป ความถูกต้อง ไม่ได้วัดกันที่คนปฏิบัติจำนวนมาก และคนจำนวนมากไม่ได้เป็นมาตรฐานวัดความถูกต้องเสมอไป
والله أعلم بالصواب
ความจริง คือ ความจริง แม้ว่า มนุษย์ จะเกลียดชังมัน
[الحق حق وإن استقبحه الناس، والباطل باطل وإن استحسنه الناس، فصح أن الاستحسان شهوة، واتباعُ للهوى وضلال، وبالله تعالى نعوذ من الخذلان] (196/2) من الإحكام في أصول الأحكام
ความจริง คือ ความจริง แม้ว่า มนุษย์ จะเกลียดชังมัน(หาว่าไม่ดี)ก็ตาม และ ความเท็จ คือ ความเท็จ แม้ว่ามนุษย์จะคิดเห็น ว่าดีก็ตาม ดังนั้น ที่ถูกต้องคือ การใช้ความ คิดเห็นว่าดี นั้น คือ ตัณหา คือ การตามอารมณ์ และเป็นการลุ่มหลง เราขอความคุ้มต่ออัลลอฮ ให้พ้นจากความผิดหวังทั้งหลายด้วยเถิด - อัลอะหกาม ฟีอุศูลุ้ลอะหกาม เล่ม 2 หน้า 196
والله أعلم بالصواب
จงยึดสายเชือกของอัลลอฮฺ(ศาสนาของอัลลอฮฺ)
เอกภาพและภราดรภาพในอิสลาม
อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
(وَاعْتَصِمُوا بِحَبْلِ اللَّهِ جَمِيعاً وَلا تَفَرَّقُوا وَاذْكُرُوا نِعْمَتَ اللَّهِ عَلَيْكُمْ إِذْ كُنْتُمْ أَعْدَاءً فَأَلَّفَ بَيْنَ قُلُوبِكُمْ فَأَصْبَحْتُمْ بِنِعْمَتِهِ إِخْوَاناً وَكُنْتُمْ عَلَى شَفَا حُفْرَةٍ مِنَ النَّارِ فَأَنْقَذَكُمْ مِنْهَا كَذَلِكَ يُبَيِّنُ اللَّهُ لَكُمْ آيَاتِهِ لَعَلَّكُمْ تَهْتَدُونَ) (سورة آل عمران: 103)
ความว่า “และพวกเจ้า
จงยึดสายเชือกของอัลลอฮฺ(ศาสนาของอัลลอฮฺ)ในทุกๆส่วนทั้งหมด และจงอย่าแตกแยกกัน และจงรำลึกถึงความเมตตาของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเจ้า ขณะที่พวกเจ้าเป็นศัตรูกัน แล้วพระองค์ได้ทรงทำให้หัวใจของพวกเจ้ามีความสนิทสนมกัน และพวกเจ้าก็กลายเป็นพี่น้องกันด้วยความเมตตาของพระองค์
และพวกเจ้าเคยอยู่บนปากหลุมของไฟนรก แล้วพระองค์ก็ทรงช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากปากหลุมแห่งไฟนรกนั้น ในทำนองนั้นแหละ อัลลอฮฺจะทรงชี้แจงแก่พวกเจ้าซึ่งโองการต่างๆของพระองค์ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับแนวทางอันถูกต้อง" - อาลิอิมรอน/103
อิสลามสอนให้มุสลิมเป็นหนึ่งเดียวไม่แตกแยกกัน โดยให้ยึดสายเชือกแห่งอัลลอฮ
สายเชื่อกอัลลอฮคืออะไร โปรดดูต่อไปนี้
وَاعْتَصِمُوا بِحَبْلِ اللَّهِ جَمِيعًا وَلَا تَفَرَّقُوا ۚ
และพวกเจ้าจงยึดสายเชือก ของอัลลอฮ์โดยพร้อมกันทั้งหมดและจงอย่าแตกแยกกัน
وقوله : ( واعتصموا بحبل الله جميعا ولا تفرقوا ) قيل ( بحبل الله ) أي : بعهد الله ، كما قال في الآية بعدها : ( ضربت عليهم الذلة أينما ثقفوا إلا بحبل من الله وحبل من الناس ) [ آل عمران : 112 ] أي بعهد وذمة وقيل : ( بحبل من الله ) يعني : القرآن ، كما في حديث الحارث الأعور ، عن علي مرفوعا في صفة القرآن : " هو حبل الله المتين ، وصراطه المستقيم " .
และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (และพวกเจ้าจงยึดสายเชือก ของอัลลอฮ์โดยพร้อมกันทั้งหมดและจงอย่าแตกแยกกัน ) มีผู้กล่าวว่า (ด้วยสายเชือกอัลลอฮ)หมายถึง ด้วยพันธสัญญาแห่งอัลลอฮ ดังที่พระองค์ตรัส ในอายะฮหลังจากนั้นว่า
(
ضُرِبَتْ عَلَيْهِمُ الذِّلَّةُ أَيْنَ مَا ثُقِفُوا إِلَّا بِحَبْلٍ مِّنَ اللَّهِ وَحَبْلٍ مِّنَ النَّاسِ
ความต่ำช้าได้ถูกฟาดลงบนพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเขาถูกพบ นอกจากด้วยสายเชือกจากอัลลอฮ์ และสายเชือกจากมนุษย์ -อาลิอิมรอน/12 หมายถึง พันธสัญญา และความรับผิดชอบ และมีผู้กล่าวว่า (ด้วยสายเชือกของอัลลอฮ) หมายถึง อัลกุรอ่าน ดังระบุในหะดิษอัลหาริษอัลอะวัร รายงานจากอาลี เป็นหะดิษมัรฟัวะ ในคุณลักษณะของอัลกุรอ่านว่า มันคือ สายเชือกของอัลลอฮที่มั่นคง และเป็นหนทางของพระองค์ที่เที่ยงตรง - ดูตัฟสีรอิบนุกะษีร
....
อายะฮนี้ สอนให้มีความเป็นเอกภาพ สามัคคีกัน มีความเป็นพี่น้องกัน บนความถูกต้อง บน การยึดมั่นในศาสนาหรือ อัลกุรอ่าน ไม่ใช่สามัคคีกัน บนประเพณีที่เกิดจากความคิดอุตริกรรมของมนุษย์
والله أعلم بالصواب
---------------------------------------------------------
ท่านนบีศอลฯ ได้กล่าวไว้ว่า:
«تَرَكْتُ فِيكُمْ أَمْرَيْنِ لَنْ تَضِلُّوا مَا تَمَسَّكْتُمْ بِهِمَا كِتَابَ اللَّـهِ وَسُنَّةَ نَبِيِّهِ»
ความว่า: “ฉันได้ทิ้งไว้ให้แก่พวกเจ้าสองอย่าง ซึ่งพวกเจ้าจะไม่ลุ่มหลงหากพวกเจ้ายึดมันไว้ ทั้งสองนั้นก็คือ คัมภีร์ของอัลลอฮฺ และแนวทางของนบีของพระองค์” (อัล-มุวัฎเฏาะอ์ ของอิมามมาลิก)
อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
(وَاعْتَصِمُوا بِحَبْلِ اللَّهِ جَمِيعاً وَلا تَفَرَّقُوا وَاذْكُرُوا نِعْمَتَ اللَّهِ عَلَيْكُمْ إِذْ كُنْتُمْ أَعْدَاءً فَأَلَّفَ بَيْنَ قُلُوبِكُمْ فَأَصْبَحْتُمْ بِنِعْمَتِهِ إِخْوَاناً وَكُنْتُمْ عَلَى شَفَا حُفْرَةٍ مِنَ النَّارِ فَأَنْقَذَكُمْ مِنْهَا كَذَلِكَ يُبَيِّنُ اللَّهُ لَكُمْ آيَاتِهِ لَعَلَّكُمْ تَهْتَدُونَ) (سورة آل عمران: 103)
ความว่า “และพวกเจ้า
จงยึดสายเชือกของอัลลอฮฺ(ศาสนาของอัลลอฮฺ)ในทุกๆส่วนทั้งหมด และจงอย่าแตกแยกกัน และจงรำลึกถึงความเมตตาของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเจ้า ขณะที่พวกเจ้าเป็นศัตรูกัน แล้วพระองค์ได้ทรงทำให้หัวใจของพวกเจ้ามีความสนิทสนมกัน และพวกเจ้าก็กลายเป็นพี่น้องกันด้วยความเมตตาของพระองค์
และพวกเจ้าเคยอยู่บนปากหลุมของไฟนรก แล้วพระองค์ก็ทรงช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากปากหลุมแห่งไฟนรกนั้น ในทำนองนั้นแหละ อัลลอฮฺจะทรงชี้แจงแก่พวกเจ้าซึ่งโองการต่างๆของพระองค์ เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับแนวทางอันถูกต้อง" - อาลิอิมรอน/103
อิสลามสอนให้มุสลิมเป็นหนึ่งเดียวไม่แตกแยกกัน โดยให้ยึดสายเชือกแห่งอัลลอฮ
สายเชื่อกอัลลอฮคืออะไร โปรดดูต่อไปนี้
وَاعْتَصِمُوا بِحَبْلِ اللَّهِ جَمِيعًا وَلَا تَفَرَّقُوا ۚ
และพวกเจ้าจงยึดสายเชือก ของอัลลอฮ์โดยพร้อมกันทั้งหมดและจงอย่าแตกแยกกัน
وقوله : ( واعتصموا بحبل الله جميعا ولا تفرقوا ) قيل ( بحبل الله ) أي : بعهد الله ، كما قال في الآية بعدها : ( ضربت عليهم الذلة أينما ثقفوا إلا بحبل من الله وحبل من الناس ) [ آل عمران : 112 ] أي بعهد وذمة وقيل : ( بحبل من الله ) يعني : القرآن ، كما في حديث الحارث الأعور ، عن علي مرفوعا في صفة القرآن : " هو حبل الله المتين ، وصراطه المستقيم " .
และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (และพวกเจ้าจงยึดสายเชือก ของอัลลอฮ์โดยพร้อมกันทั้งหมดและจงอย่าแตกแยกกัน ) มีผู้กล่าวว่า (ด้วยสายเชือกอัลลอฮ)หมายถึง ด้วยพันธสัญญาแห่งอัลลอฮ ดังที่พระองค์ตรัส ในอายะฮหลังจากนั้นว่า
(
ضُرِبَتْ عَلَيْهِمُ الذِّلَّةُ أَيْنَ مَا ثُقِفُوا إِلَّا بِحَبْلٍ مِّنَ اللَّهِ وَحَبْلٍ مِّنَ النَّاسِ
ความต่ำช้าได้ถูกฟาดลงบนพวกเขา ณ ที่ใดก็ตามที่พวกเขาถูกพบ นอกจากด้วยสายเชือกจากอัลลอฮ์ และสายเชือกจากมนุษย์ -อาลิอิมรอน/12 หมายถึง พันธสัญญา และความรับผิดชอบ และมีผู้กล่าวว่า (ด้วยสายเชือกของอัลลอฮ) หมายถึง อัลกุรอ่าน ดังระบุในหะดิษอัลหาริษอัลอะวัร รายงานจากอาลี เป็นหะดิษมัรฟัวะ ในคุณลักษณะของอัลกุรอ่านว่า มันคือ สายเชือกของอัลลอฮที่มั่นคง และเป็นหนทางของพระองค์ที่เที่ยงตรง - ดูตัฟสีรอิบนุกะษีร
....
อายะฮนี้ สอนให้มีความเป็นเอกภาพ สามัคคีกัน มีความเป็นพี่น้องกัน บนความถูกต้อง บน การยึดมั่นในศาสนาหรือ อัลกุรอ่าน ไม่ใช่สามัคคีกัน บนประเพณีที่เกิดจากความคิดอุตริกรรมของมนุษย์
والله أعلم بالصواب
---------------------------------------------------------
ท่านนบีศอลฯ ได้กล่าวไว้ว่า:
«تَرَكْتُ فِيكُمْ أَمْرَيْنِ لَنْ تَضِلُّوا مَا تَمَسَّكْتُمْ بِهِمَا كِتَابَ اللَّـهِ وَسُنَّةَ نَبِيِّهِ»
ความว่า: “ฉันได้ทิ้งไว้ให้แก่พวกเจ้าสองอย่าง ซึ่งพวกเจ้าจะไม่ลุ่มหลงหากพวกเจ้ายึดมันไว้ ทั้งสองนั้นก็คือ คัมภีร์ของอัลลอฮฺ และแนวทางของนบีของพระองค์” (อัล-มุวัฎเฏาะอ์ ของอิมามมาลิก)
วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2558
เรื่อง อิบาดะฮ ต้องมาจากคำสอนของอัลลอฮและรอซูล
เรื่อง อิบาดะฮ ต้องมาจากคำสอนของอัลลอฮและรอซูลเท่านั้น
ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ) กล่าวว่า
"باب العبادات والديانات والتقربات مُتَلَقَّاة عن الله ورسوله صلى الله عليه وسلم، فليس لأحد أن يجعل شيئاً عبادة أو قربة إلا بدليل شرعي
เรื่อง อิบาดาต ,เรื่องศาสนา และเรื่องอัตตะกอ็รรรุบาต(หมายถึงบรรดาการกระทำที่ทำให้ใกล้ชิดกับอัลลฮ) จะถูกเรียนรู้จากอัลลอฮและรอซูลของพระองค์ ศอ็ลฯ ไม่อนุญาตให้คนหนึ่งคนใดกำหนดสิ่งใด เป็นอิบาดะฮ หรือ กุรบะฮ นอกจากด้วยหลักฐานแห่งศาสนบัญญัติ - มัจญมัวะฟาตาวา 31/35
เมื่อตามสุนนะฮแล้วกลายเป็นคณะใหม่
แปลกมัย...เมื่อตามสุนนะฮแล้วกลายเป็นคณะใหม่
มันเป็นคำถามอยู่ในใจเสมอว่า " ทำไมเมื่อปฎิบัติตามสุนนะฮ และทิ้งสิ่งที่เป็นบิดอะฮและชิริก จึงกลายเป็นคณะใหม่ ในสายตาของสังคมคนหมู่มาก ทั้งๆที่ท่านนบี ศอ็ลฯ สอนว่า เมื่ออยู่ในภาวะวิกฤตความขัดแย้ง ก็ให้ยึดสุนนะฮนบีและสุนนะฮเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน ซึ่งหมายถึง อบูบักร,อุมัร ,อุษมานและอาลี ดังหะดิษที่ว่า
وعن العرباض بن سارية رضي الله عنه قال: وعظنا رسول الله صلى الله عليه وسلم موعظة بليغة، قلنا: يا رسول الله كأنها موعظة مودع فأوصنا قال: « أُوصِيكُمْ بِتَقْوَى اللهِ، وَالسَّمْعِ وَالطَّاعَةِ وَإنْ تَأمَّر عَلَيْكُمْ عَبْدٌ حَبَشِيٌّ، وَإِنَّهُ مَنْ يَعِشْ مِنْكُمْ فَسَيَرَى اختِلافاً كَثيراً، فَعَليْكُمْ بسُنَّتِي وسُنَّةِ الخُلَفاءِ الرَّاشِدِينَ المَهْدِيِيِّنَ عَضُّوا عَلَيْهَا بالنَّواجِذِ، وَإِيَّاكُمْ وَمُحْدَثَاتِ الأُمُورِ؛ فإنَّ كلَّ بدعة ضلالة ».
มีรายงานจากท่าน อัลอิรบาฎ บิน ซารียะห์ รอฎิยัลลอฮุอันฮู ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ได้ให้คำตักเตือนแก่พวกเรา เป็นคำตักเตือนที่ลึกซึ้ง
เราได้กล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลลอฮฺ เสมือนว่า มันเป็นคำตักเตือนอำลา ดังนั้นท่านโปรดสั่งเสียแก่พวกเราเถิด
ฉันขอสั่งเสียพวกท่านให้ยำเกรงต่ออัลลอฮฺ ให้มีการเชื่อฟังปฏิบัติตาม หากแม้นว่าเขาเป็นทาสชาวหาบาชีย์ได้เป็นผู้นำแก่พวกเจ้า
และแท้จริงใครมีชีวิตอยู่จากพวกเจ้า แล้วเขาจะได้เห็นความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างมากมาย
ดังนั้นจำเป็นสำหรับพวกท่านจะต้องยึดมั่นต่อซุนนะห์ของฉัน และซุนนะห์ของบรรดาคูลาฟาฮฺอัรรอชีดีน(คอลีฟะห์ที่ได้รับการชี้นำอยู่ในทางนำที่ถูกต้อง)
พวกท่านจงกัดมัน ด้วยกับฟันกราม
และพวกท่านพึงระวัง จากการกระทำขึ้นมาใหม่ของกิจการงาน (อุตริขึ้นมาในศาสนา) เพราะว่าทุกการอุตริ คือความหลงผิด "
(บันทึกโดย อาบูดาวุด หะดีษที่ ๔๖๐๗ อิบนูมายะห์ดีษที่ ๔๓ อัตติรมีซีย์ หะดีษที่ ๒๖๗๖ อัตติรมีซีย์ได้กล่าวไว้หะดีษนี้เป็นหะดีษที่ถูกต้อง)
والله ا‘لم بالصواب
เมื่อสอนให้ตามสุนนะฮ เขาหาว่าสร้างความแตกแยก
แปลกไหมเมื่อสอนให้ตามสุนนะฮ เขาหาว่าสร้างความแตกแยก
มันเป็นเรื่องที่แปลก ที่อัลกุรอ่านสอนว่า รซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ คือ แบบอย่างที่ดี
แต่เมื่อสอนให้ตามแบบอย่างหรือสุนนะฮรอซูล ศอ็ลฯ ที่เป็นแบบอย่างที่ดี เขาหาว่าสร้างความแตกแยก
อัล-กุรอ่าน สอนไว้ว่า
لَقَدْ كَانَ لَكُمْ فِي رَسُولِ اللَّهِ أُسْوَةٌ حَسَنَةٌ لِّمَن كَانَ يَرْجُو اللَّهَ وَالْيَوْمَ الْآخِرَ وَذَكَرَ اللَّهَ كَثِيرًا
โดยแน่นอน ในร่อซูลของอัลลอฮฺมีแบบฉบับอันดีงามสำหรับพวกเจ้าแล้ว (*1*) สำหรับผู้ที่หวัง (จะพบ) อัลลอฮฺและวันปรโลกและรำลึกถึงอัลลอฮฺอย่างมาก -อัลอะหซาบ/21
(1) คือแบบฉบับอันสูงส่งที่จำเป็นต้องปฏิบัติตามในทุกคำพูด การปฏิบัติ และสถานะ เพราะท่านมิได้พูดและปฏิบัติตามอารมณ์ หากแต่เป็นวะฮียฺและการประทานให้ลงมาจากอัลลอฮ
والله أعلم بالصواب
ผู้ที่ยึดแนวทางสะลัฟและห่างจากบิดอะฮ คือ ผู้ที่โชคดี
ผู้ที่ยึดแนวทางสะลัฟและห่างจากบิดอะฮ คือ ผู้ที่โชคดี
อัลหาฟีซอิบนุหะญัร (ร.ฮ) กล่าวว่า
فَالسَّعِيدُ مَنْ تَمَسَّكَ بِمَا كَانَ عَلَيْهِ السَّلَفُ وَاجْتَنَبَ مَا أَحْدَثَهُ الْخَلَفُ
ผู้ที่โชคดี คือ ผู้ที่ยึดมั่นด้วยสิ่งที่บรรพชนยุคสะลัฟยืนหยัดอยู่บนมัน และ เขาห่างใกลจากสิ่ง(บิดอะฮ)ที่คนยุคหลังประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่- ฟัตหุลบารีย์ 13 /267
พูดเรื่องศาสนา ต้องอ้างอิงหลักฐาน
พูดเรื่องศาสนา ต้องอ้างอิงหลักฐาน
อิหม่ามชาฟิอี (ร.ฮ) กล่าวว่า
لَيْسَ ِلاَحَدٍ دُوْنَ الرَّسُوْلِ اللهِ صَلَّىاللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ اَنْ يَقُوْلَ اِلاَّ بِاْلاِسْتِدْلاَلِ وَلاَ يَقُوْلُ بِمَا اسْتَحْسَنَ فَاِنَّ الْقَوْلَ بِمَا اسْتَحْسَنَ شَيْءٌ يُحْدِثهُ لاَ عَلَى مِثَالٍ سَابِقٍ
"ไม่อนุญาตแก่บุคคลใด อื่นจากรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม พูด (เกี่ยวกับศาสนา) นอกจาก ด้วยการอ้างอิงหลักฐาน และ เขาอย่ากล่าวอ้าง ด้วยสิ่งที่เขาคิดเห็นว่าดี เพราะแท้จริง การกล่าวอ้างด้วยสิ่งที่เขาคิดเห็นว่าดี (โดยไม่มีหลักฐาน)นั้น คือสิ่งที่ถูกประดิิษฐ์ขึ้นมาใหม่ ที่ไม่มีแบบอย่างมาก่อน
- อัรริสาละฮ หน้า 40
ทุกชีวิตจะต้องพบกับความตาย
ทุกชีวิตจะต้องพบกับความตายและจะถูกนำกลับไปสู่พระเจ้า
ทุกๆ ชีวิตย่อมพบกับความตายและไม่มีผู้ใดที่จะหนีความตายพ้น ซึ่งตรงกับคำตรัสของอัลลอฮฺ (ซุบฮาฯ) ที่ว่า
كل نفس ذائقة الموت ثم إلينا ترجعون
ความว่า: “ทุกๆชีวิตเป็นผู้ลิ่มรสความตาย แล้วพวกเจ้าจะถูกนำกลับยังเรา” (อัลอังกาบูต: 57)
การศึกษาหาความรู้ โดยไม่มีหลักฐาน เสมือนคนแบกไม้ฟืนที่มีงูร้ายซ่อนอยู่
การศึกษาหาความรู้ โดยไม่มีหลักฐาน เสมือนคนแบกไม้ฟืนที่มีงูร้ายซ่อนอยู่
อิบนุกอ็ยยิม (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
وَقَدْ نَهَى الْأَئِمَّةُ الْأَرْبَعَةُ عَنْ تَقْلِيدِهِمْ ، وَذَمُّوا مَنْ أَخَذَ أَقْوَالَهُمْ بِغَيْرِ حُجَّةٍ ; فَقَالَ الشَّافِعِيُّ : مَثَلُ الَّذِي يَطْلُبُ الْعِلْمَ بِلَا حُجَّةٍ كَمَثَلِ حَاطِبِ لَيْلٍ ، يَحْمِلُ حُزْمَةَ حَطَبٍ وَفِيهِ أَفْعَى تَلْدَغُهُ وَهُوَ لَا يَدْرِي ، ذَكَرَهُ الْبَيْهَقِيُّ
และความจริง อิหม่ามทั้งสี่ ได้ห้ามตักลีด(เชื่อตาม)พวกเขา และพวกเขาตำหนิผู้ที่ยึดเอาคำพูดของพวกเขาโดยปราศจากหลักฐาน แล้วท่านอิหม่ามชาฟิอีย์กล่าวว่า" อุปมาผู้ที่ศึกษาหาความรู้ โดยไม่มีหลักฐาน อุปมัยดังเช่น คนหาไม้ฟืนยามค่ำคืน ,เขาแบกมัดของไม้ฟืน และในนั้นมีงูจะกัดเขาอยู่ โดยที่เขาไม่รู้ ,อัลบัยฮะกีย์ได้ระบุเอาไว้
- อะอฺลามุลมุวักกิอีน เล่ม 1 หน้า 139
และข้างล่างคือ สายรายงาน
سَمِعْتُ أَبَا الْعَبَّاسِ مُحَمَّدَ بْنَ يَعْقُوبَ , يَقُولُ : سَمِعْتُ الرَّبِيعَ بْنَ سُلَيْمَانَ ، يَقُولُ : سَمِعْتُ الشَّافِعِيَّ , يَقُولُ : " مثل الَّذِي يَطْلُبُ الْعِلْمَ بِلا حُجَّةٍ , مثل حَاطِبِ لَيْلٍ يَحْمِلُ حَطَبًا فِيهَا أَفْعَى , تَلْدَغُهُ وَهُوَ لا يَدْرِي " . قَالَ نُمَيْرٌ : أَبُي الْعَبَّاسِ , عَنِ الرَّبِيعِ : مثل الَّذِي يَطْلُبُ الْحَدِيثَ بِلا إِسْنَادٍ .
وأخرج البيهقي في "المدخل" (ص211/رقم263
والله أعلم بالصواب
บรรดาอิบาดะฮ ที่ตั้งของมัน อยู่บนอัสสุนนะฮและการปฏิบัติตามรอซูล

บรรดาอิบาดะฮ ที่ตั้งของมัน อยู่บนอัสสุนนะฮและการปฏิบัติตามรอซูล
อิบนุ อะบิลอิซ (ร.ฮ)กล่าวว่า
والعبادات مبناها على السنة والإتباع لا على الهوى والابتداع "
บรรดาอิบาดะฮ ที่ตั้งของมัน อยู่บน อัสสุนนะฮและการปฏิบัติตามรอซูล ไม่ใช่บนการตามอารมณ์(ความคิดเห็น)และการอุตริบิดอะฮ
شرح الطحاوية ص/37 وانظر الفتاوى لإبن تيمية (4/170
สามประการที่ทำให้เสียหายแก่ศาสนา
สามประการที่ทำให้เสียหายแก่ศาสนา
قَالَ عُمَرُ بْنُ الْخَطَّابِ ، رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ : " ثَلاثٌ يَهْدِمْنَ الدِّينَ : زَيْغَةُ الْعَالِمِ ، وَجِدَالُ مُنَافِقٍ بِالْقُرْآنِ ، وَأَئِمَّةٌ مُضِلُّونَ "
ท่านอุมัร บิน อัลคอ็ฏฏอบ (ร.ฏ)กล่าวว่า สามประการที่ทำให้เสียหายแก่ศาสนา
1. ความผิดพลาดของผู้รู้
2. การโต้แย้งของมุนาฟิก
3. บรรดาผู้นำที่ทำให้หลงผิด
บันทึกโดย อัดดาเราะมีย์ ด้วยสายสืบที่เศาะเฮียะ 1/71
สายรายงานที่อิบนุอับดิลบัร ได้กล่าวเอาไว้ใน ญามิอุ บะยานิลอิลมิ วะฟัฏฎลิฮ หะดิษหมายเลข 1127
أَخْبَرَنَا أَخْبَرَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ مُحَمَّدِ بْنِ عَبْدِ الْمُؤْمِنِ ، قَالَ : أنا أَبُو الْحُسَيْنِ أَحْمَدُ بْنُ عُثْمَانَ الآدَمَيُّ ، قَالَ : حَدَّثَنَا عَبَّاسٌ الدُّورِيُّ ، ثنا مُحَمَّدُ بْنُ بِشْرٍ الْعَبْدِيُّ ، قَالَ : حَدَّثَنَا مُجَالِدٌ ، عَنْ عَامِرٍ ، عَنْ زِيَادِ بْنِ حُدَيْرٍ ، قَالَ : قَالَ عُمَرُ بْنُ الْخَطَّابِ ، رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ : " ثَلاثٌ يَهْدِمْنَ الدِّينَ : زَيْغَةُ الْعَالِمِ ، وَجِدَالُ مُنَافِقٍ بِالْقُرْآنِ ، وَأَئِمَّةٌ مُضِلُّونَ " . وَذَكَرَ ابْنُ مُزَيْنٍ ، عَنْ أَصْبَغَ ، عَنْ جَرِيرٍ الضَّبِّيِّ ، عَنِ الْمُغِيرَةِ ، عَنِ الشَّعْبِيِّ ، عَنْ زِيَادِ بْنِ حُدَيْرٍ ، قَالَ : أَتَيْتُ عُمَرَ بْنَ الْخَطَّابِ ، رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ ، فَذَكَرَ مَعْنَاهُ
قَالَ عُمَرُ بْنُ الْخَطَّابِ ، رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ : " ثَلاثٌ يَهْدِمْنَ الدِّينَ : زَيْغَةُ الْعَالِمِ ، وَجِدَالُ مُنَافِقٍ بِالْقُرْآنِ ، وَأَئِمَّةٌ مُضِلُّونَ "
ท่านอุมัร บิน อัลคอ็ฏฏอบ (ร.ฏ)กล่าวว่า สามประการที่ทำให้เสียหายแก่ศาสนา
1. ความผิดพลาดของผู้รู้
2. การโต้แย้งของมุนาฟิก
3. บรรดาผู้นำที่ทำให้หลงผิด
บันทึกโดย อัดดาเราะมีย์ ด้วยสายสืบที่เศาะเฮียะ 1/71
สายรายงานที่อิบนุอับดิลบัร ได้กล่าวเอาไว้ใน ญามิอุ บะยานิลอิลมิ วะฟัฏฎลิฮ หะดิษหมายเลข 1127
أَخْبَرَنَا أَخْبَرَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ مُحَمَّدِ بْنِ عَبْدِ الْمُؤْمِنِ ، قَالَ : أنا أَبُو الْحُسَيْنِ أَحْمَدُ بْنُ عُثْمَانَ الآدَمَيُّ ، قَالَ : حَدَّثَنَا عَبَّاسٌ الدُّورِيُّ ، ثنا مُحَمَّدُ بْنُ بِشْرٍ الْعَبْدِيُّ ، قَالَ : حَدَّثَنَا مُجَالِدٌ ، عَنْ عَامِرٍ ، عَنْ زِيَادِ بْنِ حُدَيْرٍ ، قَالَ : قَالَ عُمَرُ بْنُ الْخَطَّابِ ، رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ : " ثَلاثٌ يَهْدِمْنَ الدِّينَ : زَيْغَةُ الْعَالِمِ ، وَجِدَالُ مُنَافِقٍ بِالْقُرْآنِ ، وَأَئِمَّةٌ مُضِلُّونَ " . وَذَكَرَ ابْنُ مُزَيْنٍ ، عَنْ أَصْبَغَ ، عَنْ جَرِيرٍ الضَّبِّيِّ ، عَنِ الْمُغِيرَةِ ، عَنِ الشَّعْبِيِّ ، عَنْ زِيَادِ بْنِ حُدَيْرٍ ، قَالَ : أَتَيْتُ عُمَرَ بْنَ الْخَطَّابِ ، رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ ، فَذَكَرَ مَعْنَاهُ
รักอัลลอฮ จงปฎิบัติตามสุนนะฮรอซูล
อ้างรักอัลลอฮ แต่ถ้าไม่ตามสุนนะฮรอซูล คือการอ้างเท็จ
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
قُلْ إِنْ كُنْتُمْ تُحِبُّونَ اللَّهَ فَاتَّبِعُونِي يُحْبِبْكُمُ اللَّهُ وَيَغْفِرْ لَكُمْ ذُنُوبَكُمْ وَاللَّهُ غَفُورٌ رَحِيمٌ
จงประกาศเถิด(โอ้มุหัมหมัด) ว่า “หากพวกท่านรักอัลลอฮ จงปฏิบัติตามฉัน อัลลอฮก็จะรักพวกท่านและอภัยความผิดของพวกท่าน ให้แก่พวกท่าน และอัลลอฮ คือ ผู้ทรงอภัยและเมตตายิ่ง – อาลิอิมรอน/31
ท่านอิบนุกะษีร อธิบายว่า
هَذِهِ الْآيَةُ الْكَرِيمَةُ حَاكِمَةٌ عَلَى كُلِّ مَنِ ادَّعَى مَحَبَّةَ اللَّهِ ، وَلَيْسَ هُوَ عَلَى الطَّرِيقَةِ الْمُحَمَّدِيَّةِ فَإِنَّهُ كَاذِبٌ فِي دَعْوَاهُ فِي نَفْسِ الْأَمْرِ ، حَتَّى يَتَّبِعَ الشَّرْعَ الْمُحَمَّدِيَّ وَالدِّينَ النَّبَوِيَّ فِي جَمِيعِ أَقْوَالِهِ وَأَحْوَالِهِ ، كَمَا ثَبَتَ فِي الصَّحِيحِ عَنْ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنَّهُ قَالَ : " مَنْ عَمِلَ عَمَلًا لَيْسَ عَلَيْهِ أَمْرُنَا فَهُوَ رَدٌّ
อายะฮอันทรงเกียรตินี้ คือ ผู้ตัดสิน (เอาผิด)บน ทุกๆคน ที่อ้างว่ารักอัลลอฮ โดยที่เขาไม่ได้อยู่บนแนวทางของมุหัมหมัด ,ในความเป็นจริง เขาคือ ผู้กล่าวเท็จในการอ้างของเขา จนกว่า เขาจะเจริญรอยตามบัญญัติแห่งมุหัมหมัด และศาสนาแห่งนบี ในบรรดาคำพูดและการกระทำของเขาทั้งหมด ดังหะดิษที่ยืนยันไว้ในอัศเศาะเฮียะ จากท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ผู้ใดประกอบการงาน(อะมั้ลอิบาดะฉ)ใด ที่ไม่ใช่กิจการของเราบนมัน มันถูกปฏิเสธ”
- ดู ตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม 2 หน้า 33
والله أعلم بالصواب
อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
قُلْ إِنْ كُنْتُمْ تُحِبُّونَ اللَّهَ فَاتَّبِعُونِي يُحْبِبْكُمُ اللَّهُ وَيَغْفِرْ لَكُمْ ذُنُوبَكُمْ وَاللَّهُ غَفُورٌ رَحِيمٌ
จงประกาศเถิด(โอ้มุหัมหมัด) ว่า “หากพวกท่านรักอัลลอฮ จงปฏิบัติตามฉัน อัลลอฮก็จะรักพวกท่านและอภัยความผิดของพวกท่าน ให้แก่พวกท่าน และอัลลอฮ คือ ผู้ทรงอภัยและเมตตายิ่ง – อาลิอิมรอน/31
ท่านอิบนุกะษีร อธิบายว่า
هَذِهِ الْآيَةُ الْكَرِيمَةُ حَاكِمَةٌ عَلَى كُلِّ مَنِ ادَّعَى مَحَبَّةَ اللَّهِ ، وَلَيْسَ هُوَ عَلَى الطَّرِيقَةِ الْمُحَمَّدِيَّةِ فَإِنَّهُ كَاذِبٌ فِي دَعْوَاهُ فِي نَفْسِ الْأَمْرِ ، حَتَّى يَتَّبِعَ الشَّرْعَ الْمُحَمَّدِيَّ وَالدِّينَ النَّبَوِيَّ فِي جَمِيعِ أَقْوَالِهِ وَأَحْوَالِهِ ، كَمَا ثَبَتَ فِي الصَّحِيحِ عَنْ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنَّهُ قَالَ : " مَنْ عَمِلَ عَمَلًا لَيْسَ عَلَيْهِ أَمْرُنَا فَهُوَ رَدٌّ
อายะฮอันทรงเกียรตินี้ คือ ผู้ตัดสิน (เอาผิด)บน ทุกๆคน ที่อ้างว่ารักอัลลอฮ โดยที่เขาไม่ได้อยู่บนแนวทางของมุหัมหมัด ,ในความเป็นจริง เขาคือ ผู้กล่าวเท็จในการอ้างของเขา จนกว่า เขาจะเจริญรอยตามบัญญัติแห่งมุหัมหมัด และศาสนาแห่งนบี ในบรรดาคำพูดและการกระทำของเขาทั้งหมด ดังหะดิษที่ยืนยันไว้ในอัศเศาะเฮียะ จากท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ผู้ใดประกอบการงาน(อะมั้ลอิบาดะฉ)ใด ที่ไม่ใช่กิจการของเราบนมัน มันถูกปฏิเสธ”
- ดู ตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม 2 หน้า 33
والله أعلم بالصواب
วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2558
อย่ากลัวเมื่อท่านจะพูดความจริง
มีคนเคยพูดว่า
“#การพูดความจริงและสัจธรรมอาจจะไม่มีเพื่อนคบ”
แต่ข้าพเจ้าตอบกลับไปว่า
“#การพูดความจริงจะเผยให้ท่านเห็นถึงเพื่อนที่ดีที่สุดของท่าน”
عَنْ أَبِي سَعِيدٍ الْخُدْرِيّ
ِ رضي الله
عنه، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ ـ صلى الله عليه وسلم ـ قَامَ خَطِيبًا فَكَانَ فِيمَا قَالَ :
" أَلاَ لاَ يَمْنَعَنَّ رَجُلاً هَيْبَةُ النَّاسِ أَنْ يَقُولَ بِحَقٍّ إِذَا عَلِمَهُ "
. قَالَ فَبَكَى أَبُو سَعِيدٍ وَقَالَ:
" قَدْ وَاللَّهِ رَأَيْنَا أَشْيَاءَ فَهِبْنَا" .
صحيح-الألباني"صحيح ابن ماجه": 4007
จากท่านอบู สะอีด อัลคุดฺรียฺ เราะฎิยัลลอฮุ อันฮฺ เล่าว่า ครั้งหนึ่ง ท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้ยืนขึ้นกล่าวคุฏบะฮฺ ซึ่งส่วนหนึ่งจากคำพูดของท่านคือ :
“จงอย่าให้ความเกรงกลัวต่อผู้อื่น มาขัดขวางการพูดความจริงในสิ่งที่ท่านรู้”
ผู้รายงานเล่าว่า อบูสะอี๊ดร้องไห้และกล่าวว่า
:
“ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ เราได้รู้ได้เห็นอะไรหลายอย่างแต่พวกเรากลับกลัวที่จะพูด”
เศาะฮีหฺ-อัลบานียฺ "เศาะฮีหฺ อิบนุ มาญะฮฺ" : 4007
พระองค์อัลลอฮฺ ซุบฮานะ ฮูวะ ตาอะลา ทรงตรัสว่า :
إِنَّمَا ذَٰلِكُمُ الشَّيْطَانُ يُخَوِّفُ أَوْلِيَاءَهُ فَلَا تَخَافُوهُمْ وَخَافُونِ إِن كُنتُم مُّؤْمِنِينَ ﴿١٧٥﴾
“แท้จริงชัยฏอนนั้นเพียงขู่ได้เฉพาะบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามมันเท่านั้น ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่ากลัวพวกเขา และจงกลัวข้าเถิด หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธา” (ซูเราะหฺ อาล-อิมรอน: 175)

โทษของการปกปิดความจริง ปกป้องความเท็จเพื่อประโยชน์ทางโลก
إِنَّ الَّذِينَ يَكْتُمُونَ مَا أَنزَلَ اللّهُ مِنَ الْكِتَابِ وَيَشْتَرُونَ بِهِ ثَمَنًا قَلِيلاً أُولَـئِكَ مَا يَأْكُلُونَ فِي بُطُونِهِمْ إِلاَّ النَّارَ وَلاَ يُكَلِّمُهُمُ اللّهُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ وَلاَ يُزَكِّيهِمْ وَلَهُمْ عَذَابٌ أَلِيمٌ
แท้จริงบรรดาผู้ที่ปิดบังสิ่งซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์ ที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาและนำสิ่งนั้นไปแลกเปลี่ยนกับราคาอันเล็กน้อย ชนเหล่านั้นมิได้กินอะไรเข้าไปในท้องของพวกเขานอกจากไฟเท่านั้น และในวันกิยามะฮ์ อัลลอฮ์จะไม่ทรงพูดแก่พวกเขา และจะไม่ทรงทำให้พวกเขาบริสุทธิ์ และพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบ
อัล-บะเกาะเราะฮ/174
“#การพูดความจริงและสัจธรรมอาจจะไม่มีเพื่อนคบ”
แต่ข้าพเจ้าตอบกลับไปว่า
“#การพูดความจริงจะเผยให้ท่านเห็นถึงเพื่อนที่ดีที่สุดของท่าน”
عَنْ أَبِي سَعِيدٍ الْخُدْرِيّ
ِ رضي الله
عنه، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ ـ صلى الله عليه وسلم ـ قَامَ خَطِيبًا فَكَانَ فِيمَا قَالَ :
" أَلاَ لاَ يَمْنَعَنَّ رَجُلاً هَيْبَةُ النَّاسِ أَنْ يَقُولَ بِحَقٍّ إِذَا عَلِمَهُ "
. قَالَ فَبَكَى أَبُو سَعِيدٍ وَقَالَ:
" قَدْ وَاللَّهِ رَأَيْنَا أَشْيَاءَ فَهِبْنَا" .
صحيح-الألباني"صحيح ابن ماجه": 4007
จากท่านอบู สะอีด อัลคุดฺรียฺ เราะฎิยัลลอฮุ อันฮฺ เล่าว่า ครั้งหนึ่ง ท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ได้ยืนขึ้นกล่าวคุฏบะฮฺ ซึ่งส่วนหนึ่งจากคำพูดของท่านคือ :
“จงอย่าให้ความเกรงกลัวต่อผู้อื่น มาขัดขวางการพูดความจริงในสิ่งที่ท่านรู้”
ผู้รายงานเล่าว่า อบูสะอี๊ดร้องไห้และกล่าวว่า
:
“ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ เราได้รู้ได้เห็นอะไรหลายอย่างแต่พวกเรากลับกลัวที่จะพูด”
เศาะฮีหฺ-อัลบานียฺ "เศาะฮีหฺ อิบนุ มาญะฮฺ" : 4007
พระองค์อัลลอฮฺ ซุบฮานะ ฮูวะ ตาอะลา ทรงตรัสว่า :
إِنَّمَا ذَٰلِكُمُ الشَّيْطَانُ يُخَوِّفُ أَوْلِيَاءَهُ فَلَا تَخَافُوهُمْ وَخَافُونِ إِن كُنتُم مُّؤْمِنِينَ ﴿١٧٥﴾
“แท้จริงชัยฏอนนั้นเพียงขู่ได้เฉพาะบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามมันเท่านั้น ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่ากลัวพวกเขา และจงกลัวข้าเถิด หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธา” (ซูเราะหฺ อาล-อิมรอน: 175)

โทษของการปกปิดความจริง ปกป้องความเท็จเพื่อประโยชน์ทางโลก
إِنَّ الَّذِينَ يَكْتُمُونَ مَا أَنزَلَ اللّهُ مِنَ الْكِتَابِ وَيَشْتَرُونَ بِهِ ثَمَنًا قَلِيلاً أُولَـئِكَ مَا يَأْكُلُونَ فِي بُطُونِهِمْ إِلاَّ النَّارَ وَلاَ يُكَلِّمُهُمُ اللّهُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ وَلاَ يُزَكِّيهِمْ وَلَهُمْ عَذَابٌ أَلِيمٌ
แท้จริงบรรดาผู้ที่ปิดบังสิ่งซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์ ที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาและนำสิ่งนั้นไปแลกเปลี่ยนกับราคาอันเล็กน้อย ชนเหล่านั้นมิได้กินอะไรเข้าไปในท้องของพวกเขานอกจากไฟเท่านั้น และในวันกิยามะฮ์ อัลลอฮ์จะไม่ทรงพูดแก่พวกเขา และจะไม่ทรงทำให้พวกเขาบริสุทธิ์ และพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บแสบ
อัล-บะเกาะเราะฮ/174
ทำไมถึงต้องเรียกตนว่า "สะละฟียฺ"

-----------------------------------------------
อุละมาอฺ: ชัยคฺ มุหัมมัด นาศิรุดดีน อัล-อัลบานียฺ (ซีเรีย)
ที่มา: วารสาร อัล-อะซาละฮฺ Vol.9
-----------------------------------------------
คำถาม: ทำไมถึงต้องใช้ชื่อว่า "สะละฟียะฮฺ" ? นี่คือการเรียกร้องไปสู่กลุ่ม(ฮิซบฺ) หรือ นิกายหนึ่ง(มัสฮาบียะฮฺ) หรือ นี่คือกลุ่มใหม่ในอิสลาม ?
ชัยคฺ อัล-บานียฺ ได้ตอบว่า:
แท้จริงแล้ว คำว่า "อัส-สะลัฟ" นั้นเป็นที่รู้จักกันดีในภาษาอาหรับ และในทางบทบัญญัติ(الشرع) และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพวกเราว่ามันมาจากมุมมองของบทบัญญัติ
มีการรายงานถึงท่านนบี ศอลฯ ในช่วงที่ท่านกำลังป่วยหนัก จะก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต ท่านได้บอกท่านหญิง ฟาฏิมะฮฺ รฎ. ว่า
فاتقي الله واصبري ، ونعم السلف أنا لك
" จงยำเกรงอัลลอฮฺ และจงอดทน ฉันนั้นเป็น 'สะลัฟ' ที่ดียิ่งสำหรับเจ้า "
และอุลามะอฺได้ใช้คำว่า "อัส-สะลัฟ" อย่างมากมาย และมากมายเกินกว่าที่จะแจกจง แต่เพียงพอแล้วสำหรับเราสำหรับตัวอย่างเดียวนี้ และมันเป็นสิ่งที่พวกเขาใช้เพื่อต่อต้านบิดอะฮฺ
وكل خير في اتباع من سلف وكل شر في ابتداع من خلف
และทุกๆความดี คือ การดำเนินตามชนยุคสะลัฟ และทุกๆความชั่ว คือ อุตริกรรมใหม่ๆในยุคถัดมา(เคาะลัฟ)
อย่างไรก็ตามมีคนที่อ้างตนว่าเป็นผู้รู้ แต่เขาปฏิเสธที่จะอ้างตัวไปยังสิ่งนี้(สะลัฟ) โดยให้เหตุผลว่า มันไม่ใช่หลักการ ดังนั้นเขาจึงพูดว่า
"ไม่เป็นที่อนุญาตสำหรับมุสลิม ที่จะบอกว่า 'ฉันคือสะละฟียฺ "
มันเหมือนกับการที่เขาจะพูดว่า
"ไม่เป็นที่อนุญาตสำหรับมุสลิม ที่จะบอกว่า ฉันดำเนินตาม อัส-สะละฟุศศอลิหฺ ทั้งอะกีดะฮฺ อิบาดะฮฺ และแนวทาง"
ไม่เป็นที่สงสัยอันใดในการปฏิเสธนี้ ถ้าเขาตั้งมั่นในสิ่งนี้(การปฏิเสธสะลัฟ) มันมีผลทำให้คนๆนั้นออกจากอิสลามที่แท้จริง ที่บรรดาอัส-สะละฟุศศอลิหฺ ได้ดำรงอยู่ และหัวหน้าของพวกเขา(ชาวสะลัฟ)คือ ท่านนบี ศอลฯ และมีระบุไว้ในหะดีษ ระดับ มุตะวาตีร(เป็นหะดีษ ที่มีการรายงานเยอะมาก) อยู่ในศอฮีหฺทั้งสอง(บุคอรียฺ-มุสลิม) และอื่นๆ จากท่านรอซูลุลลอฮฺ ศอลฯ
خير الناس قرني ، ثم الذين يلونهم ، ثم الذين يلونهم
“กลุ่มชนที่ดีที่สุด คือกลุ่มชนในยุคของฉัน(เศาะหาบะฮฺ) และหลังจากนั้น(ตาบิอีน) และจากนั้น(ตาบิอิตตาบิอีน)"
แต่สำหรับคนๆหนึ่ง ที่อ้างตัวไปยังอัสสะละฟุศศอลิหฺ การอ้างตัวของเขานั้นไม่เป็นที่ผิดแต่อย่างใด ในเชิงทั่วๆไป และท่านนบี ศอลฯ ได้ระบุลักษณะของกลุ่มชนที่รอดพ้น(ฟิรเกาะตุนนาญิยะฮฺ) คือผู้ซึ่งยึดมั่นบนสิ่งที่ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศอลฯ และศอหาบะฮฺของท่านดำรงอยู่
ดังนั้น ใครก็ตามที่ยึดมั่นในสิ่งนี้ เมื่อนั้น เขาได้อยู่บนทางนำจากพระผู้อภิบาลของเขา ไม่เป็นที่ต้องสงสัยอันใด มันกระจ่าง ประจักษ์ชัด ไม่แตกต่างกัน ในการที่เราจะกล่าวว่า "ฉัน คือ มุสลิม ที่ตามกีตาบุลลอฮฺและซุนนะฮฺ บนแนวทาง(มันฮัจญ์)ของอัส-สะละฟุศศอลิหฺ" หรือเรียกสั้นๆว่า
أنا السلفي (ฉันเป็นสะละฟียฺ)
---------------------------------------------
إن كلمة السلف معروفة في لغة العرب وفي لغة الشرع ؛ وما يهمنا هنا هو بحثها من الناحية الشرعية :
فقد صح عن النبي صلى الله عليه وسلم أنه قال في مرض موته للسيدة فاطمة رضي الله عنها : "فاتقي الله واصبري ، ونعم السلف أنا لك " . ويكثر استعمال العلماء لكلمة السلف ، وهذا أكثر من أن يعد ويحصى ، وحسبنا مثالاً واحداً وهو ما يحتجون به في محاربة البدع :
وكل خير في اتباع من سلف وكل شر في ابتداع من خلف
ولكن هناك من مدعي العلم من ينكر هذه النسبة زاعماً أن لا أصل لها! فيقول : (لايجوز للمسلم أن يقول : أنا سلفي ) وكأنه يقول : (لا يجوز أن يقول مسلم : أنا متبع للسلف الصالح فيما كانوا عليه من عقيدة وعبادة وسلوك) .
لا شك أن مثل هذا الإنكار ـ لو كان يعنيه ـ يلزم منه التبرؤ من الإسلام الصحيح الذي كان عليه سلفنا الصالح ، وعلى رأسهم النبي صلى الله عليه وسلم كما يشير الحديث المتواتر الذي في الصحيحين وغيرهما عنه صلى الله عليه وسلم : "خير الناس قرني ، ثم الذين يلونهم ، ثم الذين يلونهم " . فلا يجوز لمسلم أن يتبرأ من الانتساب إلى السلف الصالح ، بينما لو تبرأ من أية نسبة أخرى لم يمكن لأحد من أهل العلم أن ينسبه إلى كفر أو فسوق . والذي ينكر هذه التسمية نفسه ، ترى ألا ينتسب إلى مذهب من المذاهب ؟! سواء أكان هذا المذهب متعلقاً بالعقيدة أو بالفقه ؟
فهو إما أن يكون أشعرياً أو ماتريدياً ، وإما أن يكون من أهل الحديث أو حنفياً أو شافعياً أو مالكياً أو حنبلياً ؛ مما يدخل في مسمى أهل السنة والجماعة ، مع أن الذي ينتسب إلى المذهب الأشعري أو المذاهب الأربعة ، فهو ينتسب إلى أشخاص غير معصومين بلا شك ، وإن كان منهم العلماء الذين يصيبون ، فليت شعري هلا أنكر مثل هذه الانتسابات إلى الأفراد غير المعصومين ؟
وأما الذي ينتسب إلى السلف الصالح ، فإنه ينتسب إلى العصمة ـ على وجه العموم ـ وقد ذكر النبي صلى الله عليه وسلم من علامات الفرقة الناجية أنها تتمسك بما كان عليه رسول الله صلى الله عليه وسلم وما كان عليه أصحابه .
فمن تمسك به كان يقيناً على هدى من ربه ولا شك أن التسمية الواضحة الجلية المميزة البينة هي أن نقول : أنا مسلم على الكتاب والسنة وعلى منهج سلفنا الصالح ، وهي أن تقول باختصار : أنا سلفي
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)