วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2559

วาทกรรมชงหะดิษปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ


วาทกรรมชงหะดิษปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ

Nazaie Al-baihagi

كَانَ اللَّهُ وَلَمْ يَكُنْ شَيْءٌ قَبْلَهُ وَكَانَ عَرْشُهُ عَلَى الْمَاءِ ثُمَّ خَلَقَ السَّمَوَاتِ وَالْأَرْضَ

อัลลอฮทรงมีอยู่แล้ว และไม่มีสิ่งใดอยู่ก่อนพระองค์ และ อะรัชของพระองค์นั้น อยู่บน น้ำ หลังจากนั้น พระองค์ทรงสร้างบรรดาฟากฟ้าและแผ่นดิน - หะดิษบุคอรี หมายเลข 698
////////////////
นี้คือ อะกีดะฮ์ของอะลิสซุนนะวัญญามาอะฮ์..ที่ไม่มีการบ่งบอกว่าถึงการมีสถานที่ของพระองค์ไม่ว่าสถานที่ใดๆ

@@@@

ชี้แจง

คุณ Nazaie Al-baihagi เอาหะดิษนี้มาชงตามตรรกกะปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ ถ้าไม่หมกเม็ดก็ต้องอธิบายต่อว่า

อิหม่ามบุคอรีจัดหะดิษข้างต้น ในหัวข้อเรื่อง

بَاب وَكَانَ عَرْشُهُ عَلَى الْمَاءِ وَهُوَ رَبُّ الْعَرْشِ الْعَظِيمِ قَالَ أَبُو الْعَالِيَةِ اسْتَوَى إِلَى السَّمَاءِ ارْتَفَعَ فَسَوَّاهُنَّ خَلَقَهُنَّ وَقَالَ مُجَاهِدٌ اسْتَوَى عَلَا عَلَى الْعَرْشِ

บทว่าด้วยคำตรัสของอัลลอฮ (และอะรัชนั้นอยู่บนน้ำ) (และพระองค์คือ พระเจ้าแห่งอะรัชอันยิ่งใหญ่) อบูอัลอาลียะฮ กล่าวว่า (ทรงมุ่งสู่ฟากฟ้า) หมายถึง ทรงขึ้นไป (และได้ทำให้มันสมบูรณ์) หมายถึง ทรงสร้างมัน และมุญฮิด กล่าวว่า คำว่า(อิสตะวา) หมายถึง ทรงอยู่สูงเหนือบัลลังค์ ( อะรัช) - ดูเศาะเฮียะบุคอรี เล่ม 6 หน้า 2699 หะดิษหมายเลข 6982
>>>
สรุปว่า อะกีดะฮสะลัฟ คือ อัลลอฮทรงอยู่สูง เหนือบัลลังค์

ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

فَإذَا سَأَلْتُمُ اللهَ فَسْأَلُوْهُ الْفِرْدَوْسَ فَإنَّهُ أوْسَطُ الْجَنَّةِ وَأعْلَى الْجَنَّةِ أُرَاهُ فَوْقَهُ عَرْشُ الرَّحْمَانِ وَمِنْهُ تَفَجَّرَ أنْهَارُ الْجَنَّةِ

“เมื่อพวกท่านวิงวอนขอต่ออัลลอฮ์ ก็จงขอสวรรค์ อัลฟิรเดาซ์ เพราะมันอยู่ครงกลางและสูงสุดของสวรรค์ บัลลังค์ของอัลลอฮ์ถูกมองเห็นจากด้านบนของมัน และบรรดาแม่น้ำในสวรรค์พวยพุ่งออกจากมัน” ศอเฮียะห์บุคอรี ฮะดีษเลขที่ 2581
อิบนุคุซัมะฮ (ร.ฮ) อธิบายหะดิษข้างต้นว่า

قَالَ أَبُو بَكْرٍ : فَالْخَبَرُ يُصَرِّحُ أَنَّ عَرْشَ رَبِّنَا جَلَّ وَعَلا فَوْقَ جَنَّتِهِ ، وَقَدْ أَعْلَمَنَا جَلَّ وَعَلا أَنَّهُ مُسْتَوٍ عَلَى عَرْشِهِ ، فخَالِقُنَا عَالٍ فَوْقَ عَرْشِهِ الَّذِي هُوَ فَوْقَ جَنَّتِهِ

อบูบักร์ กล่าวว่า “และหะดิษ ได้อธิบายชัดเจนว่า แท้จริง อะรัชของพระเจ้าของเรา (ผู้ทรงเกรียงไกร ผู้ทรงเลิศยิ่ง ) อยู่เหนือสวรรค์ ของพระองค์ และ พระองค์(ผู้ทรงเกรียงไกร ผู้ทรงเลิศยิ่ง) ได้บอกให้เรารู้ว่า “แท้จริง พระองค์ทรงสถิต(ทรงอยู่) บนอะรัชของพระองค์ และ พระเจ้าผู้ทรงสร้าง อยู่สูงเหนือ อะรัช ของพระองค์ ซึ่ง มันอยู่เหนือสวรรค์ของพระองค์ –
กิตาบุตเตาฮีด เล่ม 1 หน้า 241
@@@@@@@
มีรายงานจากคำพูดของปราชญ์ยุคสะลัฟผู้ทรงธรรมอีกมากมาย ทียืนยันว่า “อัลลอฮทรงอยู่เหนืออะรัช” เพราฉะนั้น ใครก็ตามที่ปฏิเสธ ก็ให้ทำการเตาบะฮ(สารภาพผิด)ต่ออัลลอฮโดยเร็ว และขออัลลอฮทรงชีนำทางเขาด้วย อย่าตบตาคนอีกเลย ยุคนี้วิชาการมันเข้าถึงชนทุกระดับ จะปกปิด บิดเบือน ปิดบังไม่ได้อีกแล้ว พึงสังวร

والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

จับเท็จการบิดเบือนหะดิษเพื่อปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ

จับเท็จการบิดเบือนหะดิษเพื่อปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ

ดเห็นอีก 10 รายการ
Nazaie Al-baihagi
Nazaie Al-baihagi อิหม่ามบุคอรี กล่าวว่า

وقال ضمرة بن ربيعة عن صدقة سمعت سليمان التيمي يقول لو سئلت أين الله لقلت في السماء فإن قال فأين كان عرشه قبل السماء لقلت على الماء فإن قال فأين كان عرشه قبل الماء لقلت لا أعلم قال أبو عبد الله وذلك لقوله تعالى { ولا يحيطون بشيء من علمه إلا بما شاء } يعني إلا بما بين

และฎอ็มเราะฮ บิน เราะบีอะฮ ได้รายงานจาก เศาะดะเกาะฮ ว่า ฉันได้ยินจากสุลัยมานอัตตัยมีย์ กล่าวว่า “ฉันถูกถามว่า “อัลลอฮอยู่ใหน? ฉันตอบว่า “อยู่บนฟ้า แล้วถ้าเขากล่าวว่า “ อะรัชของพระองค์ อยู่ใหน ก่อนที่ มีฟากฟ้า ,ฉันก็จะกล่าวว่า “อยู่บนน้ำ แล้วถ้าเขากล่าวถามว่า อะรัชของพระองค์อยู่ใหน ก่อนที่มีน้ำ ฉันก็จะกล่าวว่า “ฉันไม่รู้ ,อบูอับดุลลอฮ กล่าวว่า ดังกล่าวนั้นแหละ
/////////////////
จับเท็จความหมายที่วะฮาบีย์อาดิสันกอปมาแปะในคำว่าفي السماء
ความหมายคือ ในฟากฟ้าหรือในชั้นฟ้าทั้ง7ชั้น.
คำๆนี้เป็นความหมายผิวเผินที่ไม่มีอุลามะสลัฟและคลัฟท่านใดให้ความหมายว่า "อัลลอฮ์(ผู้ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งทั้งมวล)อยู่บนฟ้า"
แม้ท่านเดียว..

>>>>>>>>>>>>>>>

ชี้แจง

ข้างต้นคุณ Nazaie Al-baihagi ซึ่งมีอะกีดะฮตามแนวคิดตรรกนิยมแบบอะฮลุลกาลาม ปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ โดยอ้างว่า "คำว่า " فى السماء (ฟิสสะมาอ)ว่า แปลว่า ในฟากฟ้าหรือในชั้นฟ้าทั้ง7ชั้น นี้แสดงถึงความโง่เขลาในวิชาภาษาอาหรับและความความไม่เข้าใจในอะกีดะฮสะลัฟ เพราะฉะนั้นมาดู การอธิบายของปราชญสะลัฟ คำว่า "في السماء (ฟิสสามาอฺ)ดังนี้

อัลหาฟิซ อิบนุอับดุลบีร (ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า

" وأما قوله تعالى : ( أَأَمِنْتُمْ مَنْ فِي السَّمَاءِ أَنْ يَخْسِفَ بِكُمُ ) الملك/16 فمعناه مَن على السماء يعني على العرش ، وقد يكون في بمعنى على ، ألا ترى إلى قوله تعالى : ( فَسِيحُوا فِي الْأَرْضِ أَرْبَعَةَ أَشْهُرٍ ) التوبة/2 أي : على الأرض . وكذلك قوله : ( وَلَأُصَلِّبَنَّكُمْ فِي جُذُوعِ النَّخْلِ ) طه/71 " انتهى.

สำหรับคำตรัสของอัลลอฮตะอาลาที่ว่า (หรือว่าพวกเจ้าจะปลอดภัยจากการที่พระผู้ทรงสถิตย์อยู่ ณ ฟากฟ้าจะทรงส่งลมหอบก้อนกรวดให้กระหน่ำมายัง พวกเจ้า) - อัลมุลกุ/16 และความหมายของมันคือ ผู้ทรงอยู่บนฟากฟ้า หมายถึง อยู่บนอะรัช และบางครั้งคำว่า “ ฟี”(ใน) มีความหมายว่า “อะลา(บน) ท่านไม่เห็นดอกหรือ คำตรัสของอัลลอฮตะอาลาที่ว่า (ดังนั้นพวกท่าน จงท่องเที่ยวไปในแผ่นดินสี่เดือน) - อัตเตาบะฮ/2 หมายถึง บนแผ่นดิน และในทำนองเดียวกัน คำตรัสของอัลลอฮที่ว่า(และฉันจะเอาพวกท่านไปตรึงไว้ที่ต้นอินทผาลัม) – อัตตัมฮีด เล่ม 7 หน้า 30

.........................

ท่านอิบนุอับดุลบิร ได้อธิบายว่า คำว่า "ฟี" ในอายะฮ ที่ว่าในฟากฟ้า หมายถึง บนฟากฟ้า บนอะรัช
คุณ Nazaie Al-baihagi ไม่มีความรู้ความเข้าใจในศาสนา แต่จะเอาชนะชงและบิดเบือนโฆษณาชวนเชื่อว่าผมแปลผิด(เพราะเป็นข้อมูลของผม) คุณ Nazaie Al-baihagi ครับ
คำว่า "في السماء มีใครเขาแปลว่าในฟ้าครับ และคำว่า في الارض (ฟิลอัรฎี) ผมของถามว่า คุณอยู่ในดิน หรืออยู่บนพื้นดินครับ ,ไม่รู้แล้วมาชี้ ช่างน่าเวทนายิ่งนัก
มาดูต่อครับท่าน Nazaie Al-baihagi

อบูบักร์ อะหมัด อัศศอ็บฆี (ฮ.ศ 342) กล่าวว่า

قد تضع العرب ;في بموضع ;على; قال الله عز وجل: {فسيحوا في الأرض}، وقال {لأصلبنكم في جذوع النخل} ومعناه: على الأرض وعلى النخل ، فكذلك قوله: {في السماء} أي على العرش فوق السماء، كما صحت الأخبار عن النبي صلى الله عليه وسلم

แท้จริง อาหรับได้วาง คำว่า “ฟี”(แปลว่าใน) ด้วยที่ของคำว่า “อะลา” (แปลว่าบน) ,อัลลอฮตะอาลาผู้ทรงอำนาจ
ผู้ทรงเลิศยิ่ง ตรัสว่า (ดังนั้นพวกท่าน จงท่องเที่ยวไปในแผ่นดิน) และตรัสว่า(แน่นอนฉันจะเอาพวกท่านไปตรึงไว้ในต้นอินทผาลัม) และความหมายของมันคือ บน แผ่นดินและบนต้นอินทผลัม ในทำนองเดียวกัน คำตรัสของพระองค์ที่ว่า (ในฟากฟ้า )หมายถึง บน อะรัช เหนื่อฟากฟ้า ดังเช่นที่บรรดาหะดิษที่เศาะเฮียะจากนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม(ได้ระบุไว้) – ดูที่มาข้างล่าง

الأسماء والصفات للبيهقي (ص324)، قال: (قال أبو عبد الله الحافظ: قال الشيخ أبو بكر أحمد بن إسحاق بن أيوب الفقيه: ...) وذكره. والسند صحيح، فأبو عبد الله الحافظ هو الحاكم وكان من تلاميذ الصبغي، وكان الحاكم من شيوخ البيهقي رحمهم الله جميعا.

คำว่า ในฟ้า หมายถึง บนฟากฟ้า นี่คือคำอธิบายของสะลัฟ

คุณ Nazaie Al-baihagi ครับ คุณค้านเขา ทั้งๆที่ไม่มีความรู้ในเรื่องศาสนา สิ่งที่ผมอธิบายและได้แนบหลักฐานเพื่อยืนยันว่า
คำว่า "في السماء
หมายถึง บนฟ้า ไม่ใช่อย่างที่คุณอ้างบิดเบือนว่า

ในฟากฟ้าหรือในชั้นฟ้าทั้ง7ชั้น.
คำๆนี้เป็นความหมายผิวเผินที่ไม่มีอุลามะสลัฟและคลัฟท่านใดให้ความหมายว่า "อัลลอฮ์(ผู้ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งทั้งมวล)อยู่บนฟ้า"
แม้ท่านเดียว..
>>
ความหมายแบบผิดเผิน คำนี้ใครสอนคุณ คุณจับเท็จคุณเอดิสัน แต่กลายเป็นว่าคุณนั้นแหละอ้างเท็จเสียเอง -วัลอิยาซุบิลละฮ

เมื่อคุณ Nazaie Al-baihagi อ่านแล้วช่วยตอบ ๒ ข้อคือ
๑. คำว่า ความหมายแบบผิวเผิน ไปเอาคำศัพย์มาจากปทานุกรมเล่มใดครับ
๒. คำว่า "ฟิสสมาอ" ปราชญสะลัฟคนใหนให้ความหมายว่า "ในเจ็จชั้นฟ้าครับ
ถ้าตอบไม่ได้ หยุดพฤติกรรมให้ร้ายคนอื่นแล้วบิดเบือนทางวิชาการเสีย

والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

หะดิษอาหาดใช้เป็นหลักฐานในเรื่องอะกีดะฮไม่ได้จริงหรือ

หะดิษอาหาดในทางภาษาคือ

الآحاد جمع أحد بمعنى الواحد ،وخبر الواحد هو ما يرويه شخص واحد

อัลอาหาด เป็นพหุพจน์ของคำว่า อะหัด ด้วยความหมายว่า วาหิด (คนเดียว) และเคาะบัรอะหาดคือ สิ่งที่ บุคคลเพียงคนเดียวรายงาน
ส่วนความหมายในทางศาสนา คือ
الحديث الذي لم يجمع شروطا لمتواتر.

หะดิษที่ไม่ได้รวมบรรดาเงื่อนไข ของหะดิษมุตาวาตีร

กล่าวคือ หะดีษอาหาด آحاد คือหะดีษที่ไม่ถึงระดับมุตะวาติรนั้นเอง

ขอเรียนว่า หะดิษหรือเคาะบัรอาหาด หากเศาะเฮียะ ก็สามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานในทางศาสนา ไม่ว่า ในเรื่องอะกีดะฮหรือเรื่องอิบาดะฮเพราะมันคือคำสอนศาสนาเหมือนกัน
อิบนุกอ็ยยิม กล่าวว่า

ومعلوم مشهور استدلال أهل السنة بالأحاديث ورجوعهم إليها، فهذا إجماع منهم على القبول بأخبار الآحاد، وكذلك أجمع أهل الإسلام متقدموهم ومتأخروهم على رواية الأحاديث في صفات الله تعالى ومسائل القدر والرؤية وأصول الإيمان

และเป็นที่รู้กันแพร่หลายว่า อะฮลุสสุนนะฮ อ้างหลักฐานด้วยบรรดาหะดิษ และพวกเขากลับไปยังมัน ดังนั้นนี้คือ มติเอกฉันท์จากพวกเขา บนการรับรองเคาะบัรอะหาด (การบอกเล่าของคนๆเดียวหรือหะดิษไม่อยู่ในระดับมุตะวาตีร) และในทำนองเดียวกันนั้นชาวอิสลาม ยุคก่อนและยุคหลัง ของพวกเขา มีมติบนรายงานบรรดาหะดิษ ในเรื่องบรรดาสิฟาตอัลลอฮ ตาอาลา ,บรรดาประเด็นเรื่องอัลเกาะดัร ,เรื่องการเห็นอัลลอฮ และบรรดาหลักการศรัทธา....ดูมุคตะศอรอัศเศาะวาอิกอัลมุระละฮ 1/332
อิบนุอับดุลบัร ขออัลลอฮเมตตาต่อท่านกล่าวว่า

وكلهم يرون خبر الواحد العدل في الاعتقادات، ويعادي ويوالي عليها، ويجعلها شرعاً وحكماً وديناً في معتقده، على ذلك جماعة أهل السنة

พวกเขาทั้งหมด รายงานคำบอกเล่าของคนๆเดียว(หมายถึงหะดิษอะหาด) ที่อาดิล(ที่มีคุณธรรม) ในเรืองอะกีดะฮ และเป็นปฏิปักษ์และเป็นมิตรกันบนมัน (บนคำบอกเล่าของคนๆเดียวที่อาดิล(มีคุณธรรม) และได้กำหนดมัน ให้เป็นศาสนบัญญัติ ,เป็นหุกุมและ เป็นศาสนา ในอะกีดะฮของเขา บนดังกล่าวนั้น คือทัศนะของญะมาอะฮอะฮลุสสุนนะฮ – อัตตัมฮีด เล่ม 1 หน้า 8
........
อิบนุอับดุลบีร ระบุว่า ทัศนะของนักวิชาการคณะหนึ่งที่เป็นชาวอะฮลุสสุนนะฮ นำหะดิษอาหาดที่เศาะเฮียะมาใช้เป็นหลักฐานในเรื่อง อะกีดะฮและเรื่อง หุกุม ศาสนา

อิบนุดะฮียะฮ กล่าวว่า
وعلى قبول خبر الواحد الصحابة والتابعون وفقهاء المسلمين وجماعة أهل السنة، يؤمنون بخبر الواحد ويدينون به في الاعتقاد"

และบนการรับรองเคาะบัรวาฮิด(คำบอกเล่าของคนๆเดียว)นั้น, บรรดาเศาะหาบะฮ,บรรดาตาบิอีน, บรรดานักวิชาการฟิกฮของบรรดามุสลิม และคณะหนึ่งจากอะฮลิสสุนนะฮ และพวกเขาเชื่อด้วยคำบอกเล่าของคนๆเดียว และพวกเขายึดถือศาสนาด้วยมันในเรื่องหลักศรัทธา- อัลอิบติฮาจญ ฟี อะหาดิษ มินฮาจญ หน้า 78
เพราะฉะนั้นการอ้างว่าหะดิษอาหาดมาอ้างเป็นหลักฐานไม่ได้เป็นคำพูดที่ไร้น้ำหนัก เพราะแม้แต่อิหม่ามชาฟิอีและอิหม่ามบุคอรีก็ยังอนุญาตให้ใช้หะดิษเป็นหลักฐาน โดยไม่ได้แยกว่า เรื่องอะกีดะฮหรือเรื่องอิบาดะฮแต่อย่างใด ดู อัรริสาละฮ หน้า 457 และฟัตหุ้ลบารีย เล่ม 13 หน้า 233
.........................

จึงไม่ทราบว่า กลุ่มอาชาอีเราะบ้านเรา ใช้อะไรเป็นมาตรฐานว่า ถ้าหะดิษอาหาดใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ ถึงขนาด ไม่ยอมรับหะดิษญารียะฮ
อีกข้ออ้างหนึ่ง ท่านมุหัษดิษ ฮัมดี สุหลง บอกว่า สำนวนอื่นที่รายงานต่างกันหลายบท ที่ไม่สามารถรวมกันได้
........................
ขอตอบว่า นั้นคือตรรกของพวกญะฮมียะฮเช่น หะซัน อาลีย์ อัสสักกอฟ เพราะหะดิษญารียะฮ ที่นางกล่าวว่า อัลลอฮอยู่บนฟ้า เป็นหะดิษเศาะเฮียะ แม้แต่อิหม่ามชาฟิอีก็นำเป็นหลักฐาน และปราชญ์คนสำคัญในมัซฮับชาฟิอี คือ อัลหาฟิซ อิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีย์ ก็ยืนยันว่า เศาะเฮียะ
อิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีย์กล่าวว่า

قِصَّةِ الْجَارِيَةِ الَّتِي سَأَلَهَا النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنْتِ مُؤْمِنَةٌ؟ قَالَتْ نَعَمْ ، قَالَ فَأَيْنَ اللَّهُ ؟ قَالَتْ فِي السَّمَاءِ ، فَقَالَ أَعْتِقْهَا فَإِنَّهَا مُؤْمِنَةٌ ، وَهُوَ حَدِيثٌ صَحِيحٌ أَخْرَجَهُ مُسْلِمٌ

เรื่องราวของทาสหญิง ที่นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ถามนางว่า เธอเป็นผู้ศรัทธาใช่ไหม ? นางกล่าวว่า “ค่ะ ,ท่านนบีถามว่า “อัลลอฮอยู่ใหน?นางตอบว่า อยู่บนฟากฟ้า ,แล้วท่านนบีกล่าวว่า “จงปล่อยนางให้เป็นอิสระ เพราะแท้จริงนาง เป็นผู้ศรัทธา ,โดยที่มันเป็นหะดิษเศาะเฮียะ บันทึกโดย มุสลิม – ดูฟัตหุลบารีย์ เล่ม ๑๓ หน้า ๓๕๙
.......................
หาฟิซอิบนุหะญัร ซึ่งอะชาอีเราะฮอ้างว่า เป็นอะชาอีเราะฮ ยอมรับหะดิษนี้ แต่ อะชาอีเราะฮในเว็บสะติวเด้นบอกว่า เฎาะอีฟ แล้วนำเสนอหะดิษ อีกบทหนึ่งซึ่งเฏาะอีฟ มาค้าน
………………………
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

ท่านอุมัรทำบิดหะสะนะฮจริงหรือ

ท่านอุมัรทำบิดหะสะนะฮจริงหรือ

คำกล่าวหา ฟิตน่ะห์ จาก...

Sohin Wahabisesah
เมื่อวานนี้ เวลา 0:11 น.
บิดอะ ตามแบบฉบับวะฮาบี มันร้ายราคาจริงๆ

เพราะทุกๆบิดอะลงนรกเพ่ ขนาดซัยยีดีนัร อูมัร หลังละหมาดรวม ตะรอเวียในคืนทีสองเสร็จสิ้น ซัยยีดีนัร อูมัร (รฮ) หลุดขึ้นยืน แล้วก็เขา (ซัยยีดีนัร อูมัร ) กล่าวว่า นี้แหละบิดอะทีดียิน

แล้วผู้นำวะฮาบีอันสูงสุดกับซัยยีดีนัร อูมัร (รฮ) ครั้ยเป็นซอฮาบะห์นบี และไกล้กับนบี และ น่าเชือถือสุดๆ �#�จงกลับตัวกลับกลับใจยังทันนะวะฮาบีเอ่ย� แต่ถ้าอยากตายในซุลูมะห์ของซัยตอน จงอยู่ต่อๆไปก็ได้นะฮะ

@@@@

ชีแจง.....

หลายคนมักจะนำเอาคำพูดของ เคาะลิฟะฮอุมัร(ร.ฎ)ที่ว่า

“نعمت البدعة هذه
นี้ช่างเป็น บิดอะฮที่ดีแท้
มาอ้างเป็นหลักฐานเด็ดในการประดิษฐ์บิดอะฮ ตามความเห็นว่า "ดี" ตั้งชื่อว่าบิดอะฮที่ดี(บิดอะฮหะสะนะฮ")
อับดุร-เราะหมาน บุตร อับดิ้ลกอรี ได้เล่าว่า

عَنْ عَبْدِ الرَّحْمَنِ بْنِ عَبْدٍ الْقَارِيِّ أَنَّهُ قَالَ خَرَجْتُ مَعَ عُمَرَ بْنِ الْخَطَّابِ فِي رَمَضَانَ إِلَى الْمَسْجِدِ فَإِذَا النَّاسُ أَوْزَاعٌ مُتَفَرِّقُونَ يُصَلِّي الرَّجُلُ لِنَفْسِهِ وَيُصَلِّي الرَّجُلُ فَيُصَلِّي بِصَلَاتِهِ الرَّهْطُ فَقَالَ عُمَرُ وَاللَّهِ إِنِّي لَأَرَانِي لَوْ جَمَعْتُ هَؤُلَاءِ عَلَى قَارِئٍ وَاحِدٍ لَكَانَ أَمْثَلَ فَجَمَعَهُمْ عَلَى أُبَيِّ بْنِ كَعْبٍ قَالَ ثُمَّ خَرَجْتُ مَعَهُ لَيْلَةً أُخْرَى وَالنَّاسُ يُصَلُّونَ بِصَلَاةِ قَارِئِهِمْ فَقَالَ عُمَرُ نِعْمَتِ الْبِدْعَةُ هَذِهِ وَالَّتِي تَنَامُونَ عَنْهَا أَفْضَلُ مِنْ الَّتِي تَقُومُونَ يَعْنِي آخِرَ اللَّيْلِ وَكَانَ النَّاسُ يَقُومُونَ أَوَّلَهُ

คืนหนึ่งของเดือนเราะมะฏอน ข้าพเจ้าได้ออกไปมัสญิด พร้อมกับท่านอุมัร บุตร อัลคอฏฏอบ แล้วปรากฏว่า บรรดาผู้คนในขณะนั้นอยู่ใน
สภาพที่กระจัดกระจาย (ไม่ได้ละหมาดร่วมกัน แต่ต่างทำหรือต่างกลุ่มต่างทำ) บ้างก็ละหมาดคนเดียว,บ้างก็ละหมาดแล้วมีกลุ่มคนมาละหมาด
ตามหลัง แล้วท่านอุมัรก็กล่าวว่า
“ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮ,ข้าพเจ้าเห็นว่า หากข้าพเจ้ารวมคนเหล่านี้ ให้มาละหมาดตามอิหม่ามคนเดียวคงจะประเสริฐยิ่งกว่า
หลังจากนั้น ท่านได้ตั้งใจที่จะกระทำเช่นนั้น แล้วท่านก็ได้รวบรวมให้พวกเขาละหมาดตาม อุบัย บุตร กะอับ เขา (อับดุรเราะหมาน)ได้กล่าวต่อไปว่า
หลังจากนั้นในอีกคืนหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ออกไปพร้อมกับท่านอุมัร โดยที่บรรดาผู้คนกำลังละหมาดร่วมกัน ตามหลังอิหม่ามของพวกเขา, แล้ว
ท่านอุมัรได้กล่าวขึ้นว่า “ นี้ช่างเป็น บิดอะฮ(การริ่เริ่ม)ที่ดีแท้” และบรรดาผู้ที่ละหมาด(ญะมาอะฮ)ในช่วงต้นของกลางคืนแล้วนอนย่อมประเสริฐกว่า
พวกเขานอนหลับแล้วตื่นขึ้นมาละหมาดนี้คนเดียว
-รายงานโดยบุคอคอรี กิตาบุตตะรอเวียะและอิหมาลิกในอัลมุวัฏเฏาะ
ขอชี้แจงว่า
ขอยืนยันว่าท่านอุมัร ไม่ได้ทำบิดอะฮ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1. การละหมาดตะรอเวียะ โดยการตามคนเดียว ท่านนบี ศอลฯ เคยทำแบบอย่างไว้แล้ว ดังหะดิษอบีบีซัรริน ร.ฎ อีกครั้ง

صُمْنَا مَعَ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ رَمَضَانَ ، فَلَمْ يَقُمْ بِنَا شَيْئًا مِنَ الشَّهْرِ حَتَّى بَقِيَ سَبْعٌ ، فَقَامَ بِنَا حَتَّى ذَهَبَ نَحْوٌ مِنْ ثُلُثِ اللَّيْلِ ، فَلَمَّا كَانَتِ اللَّيْلَةُ الثَّالِثَةُ لَمْ يَقُمْ ، فَلَمَّا كَانَتِ اللَّيْلَةُ الْخَامِسَةُ قَامَ بِنَا حَتَّى شَطْرِ اللَّيْلِ ، فَقُلْتُ : يَا رَسُولَ اللَّهِ ، لَوْ نَفَّلْتَنَا قِيَامَ هَذِهِ اللَّيْلَةِ ؟ قَالَ : فَقَالَ : إِنَّ الرَّجُلَ إِذَا قَامَ مَعَ الإِمَامِ حَتَّى يَنْصَرِفَ كُتِبَ لَهُ قِيَامُ لَيْلَتِهِ ، فَلَمَّا كَانَتِ اللَّيْلَةُ الرَّابِعَةُ لَمْ يَقُمْ ، فَلَمَّا كَانَ فِي اللَّيْلَةِ الثَّالِثَةِ جَمَعَ أَهْلَهُ وَنِسَاءَهُ ، فَقَامَ بِنَا حَتَّى خَشِينَا أَنْ يَفُوتَنَا الْفَلاحُ ، قُلْتُ : وَمَا الْفَلاحُ ؟ قَالَ : السَّحُورُ ، ثُمَّ لَمْ يَقُمْ بِنَا بَقِيَّةَ الشَّهْرِ

พวกเราได้ถือศีลอดเดือนเราะมะฎอน พร้อมกับท่านรซูลุลอฮ ศอลฯ แล้วท่านไม่ได้นำละหมาดพวกเราเลยสักคืน จากเดือน นั้น จนกระทั้ง เหลือเจ็ดคืน แล้วท่านได้นำละหมาดพวกเรา จนกระทั้งผ่านไปหนึ่งในสามของกลางคืน แล้วปรากฏว่าเมือเหลืออีกหกวัน ท่านไม่ได้นำละหมาดพวกเรา แล้วเมื่อเหลือห้าวัน ท่านได้นำละหมาดพวกเรา จนกระทั้งผ่านไปครึ่งคืน แล้วข้าพเจ้ากล่าวว่า”โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ ถ้าพวกเราอาสาจะลุกขึ้นละหมาดในคืนเหล่านี้(จะดีไหม)
แล้วท่านได้กล่าวตอบว่า “แท้จริงคนใดเมื่อเขาได้ละหมาดพร้อมกับอิหม่าม จนกระทั้งเสร็จ เขาจะได้รับการตอบแทนเท่ากับละหมาดทั้งคืน แล้วเมื่อเหลืออีกสี่คืน ท่านไม่ได้นำละหมาดพวกเรา แล้วเมื่อเหลืออีกสามคืน ท่านได้ชุมนุมครอบครัวของท่าน บรรดาภรรยาของท่านและบรรดาผู้คน แล้วท่านได้นำละหมาด พวกเรา จนกระทั้งพวกเราเกรงว่าจะชวดอัล-ฟัลลาห เขา(อบูซัร)กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า “อัล-ฟัลลาหนั้นคือ อะไร ท่านได้ตอบว่า คือ การรับประทานสะหูร แล้วคืนที่เหลือในเดือนนั้น ท่านก็ไม่ได้ละหมาดนำพวกเรา – หะดิษเศาะเหียะ รายงานโดยเจ้าของสุนัน
...........................
แล้วเมื่อมีหลักฐานอย่างนี้ ท่านอุมัรจะหมายถึงบิดอะฮในทางศาสนาได้อย่างไร
2. การละหมาดตารอเวียะโดยมีอิหม่ามนำนั้น ท่านนบี ศอ็ลฯ ได้ส่งเสริมให้กระทำ ดังข้อความหะดิษอบีซัรรินที่ว่า
لَوْ نَفَّلْتَنَا قِيَامَ هَذِهِ اللَّيْلَةِ ؟ قَالَ : فَقَالَ : إِنَّ الرَّجُلَ إِذَا قَامَ مَعَ الإِمَامِ حَتَّى يَنْصَرِفَ كُتِبَ لَهُ قِيَامُ لَيْلَتِهِ
ข้าพเจ้ากล่าวว่า”โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ ถ้าพวกเราอาสาจะลุกขึ้นละหมาดในคืนเหล่านี้(จะดีไหม)
แล้วท่านได้กล่าวตอบว่า “แท้จริงคนใดเมื่อเขาได้ละหมาดพร้อมกับอิหม่าม จนกระทั้งเสร็จ เขาจะได้รับการตอบแทนเท่ากับละหมาดทั้งคืน –
........................
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ท่านนบีส่งเสริม จะเป็นบิดอะฮได้อย่างไร
3. การละหมาดญะมาอะฮตะรอเวียะ โดยการตามอิหม่ามคนเดียว ได้เกิดขึ้นก่อนคำพูด ของท่านอุมัร ที่ว่า نعمت البدعة هذه (บิดอะฮที่ดี คือ สิ่งนี้) แล้ว ดังหะดิษ อับดุรเราะหมาน บิน อับดุลกอรีย์ (ร.ฎ)

خَرَجْتُ مَعَ عُمَرَ بْنِ الْخَطَّابِ رَضِي اللَّه عَنْهم لَيْلَةً فِي رَمَضَانَ إِلَى الْمَسْجِدِ. فَإِذَا النَّاسُ أَوْزَاعٌ مُتَفَرِّقُونَ يُصَلِّي الرَّجُلُ لِنَفْسِهِ وَيُصَلِّي الرَّجُلُ فَيُصَلِّي بِصَلاَتِهِ الرَّهْطُ. فَقَالَ عُمَرُ: إِنِّي أَرَى لَوْ جَمَعْتُ هَؤُلاَءِ عَلَى قَارِئٍ وَاحِدٍ لَكَانَ أَمْثَلَ ثُمَّ عَزَمَ فَجَمَعَهُمْ عَلَى أُبَيِّ بْنِ كَعْبٍ. ثُمَّ خَرَجْتُ مَعَهُ لَيْلَةً أُخْرَى وَالنَّاسُ يُصَلُّونَ بِصَلاَةِ قَارِئِهِمْ. قَالَ عُمَرُ: نِعْمَ الْبِدْعَةُ هَذِهِ وَالَّتِي يَنَامُونَ عَنْهَا أَفْضَلُ مِنِ الَّتِي يَقُومُونَ. يُرِيدُ آخِرَ اللَّيْلِ وَكَانَ النَّاسُ يَقُومُونَ أَوَّلَهُ.
คืนหนึ่งในเดือนเราะมะฎอน ข้าพเจ้าได้ออกไปพร้อมกับ อุมัร บิน อัลคอฏฏอ็บ ไปยังมัสยิด ได้พบว่าประชาชนได้แยกกันเป็นกลุ่ม ๆ คนหนึ่งละหมาดคนเดียวตามลำพัง และคนหนึ่ง ละหมาดแล้วคนกลุ่มหนึ่งละหมาดตามเขา ท่านอุมัรได้กล่าวขึ้นว่า ฉันเห็นว่า ถ้าหากฉันรวมพวกเขาเหล่านี้ ให้ตามอิหม่ามเพียงคนเดียวก็จะเป็นการดียิ่ง ต่อมาท่านอุมัรก็ได้รวมผู้คนให้ละหมาดตามอุบัยย์ บุตร กะอับ จากนั้นฉันได้ออกไปพร้อมกับเขาในอีกคืนหนึ่ง ประชาชนกำลังละหมาดตามอิหม่ามของเขา ท่านอุมัรกล่าวว่า "นี่เป็นบิอะฮที่ดี ช่วงเวลาที่พวกเขานอนกันนั้น ดีกว่าช่วงเวลาที่พวกเขาละหมาดกิยาม เขาหมายถึงช่วงเวลาท้ายคืน แต่ประชาชนจะละหมาดกยามในตอนหัวค่ำ"- เศาะเฮียะบุคอรี กิตาบุตตะรอเวียะ
………….
คำว่า “وَيُصَلِّي الرَّجُلُ فَيُصَلِّي بِصَلاَتِهِ الرَّهْطُ
และคนหนึ่ง ละหมาดแล้วคนกลุ่มหนึ่งละหมาดตามเขา
......
แสดงให้เห็นว่า การละหมาดตะรอเวียะ โดยการตามอิหม่ามคนเดียวก็มีมาก่อนคำพูดของท่านอุมัร ความจริงท่านอุมัร เป็นผู้ฟื้นฟูสุนนะฮที่ปรากฏในสมัยของท่านนบี ศอ็ลฯ ทั้งนี้เพราะในสมัยของเคาะลิฟะฮอบูบักร อัศเศาะดีก ท่านสาละวนอยู่กับ การปราบปรามขบถศาสนา จึงไม่มีเวลามาจัดระเบียบให้เป็นไปตามที่ท่านนบี ศอ็ล ฯเคยปฏิบัติ
4. การกระทำของอุมัรเป็นมติเห็นฟ้องของเหล่าเศาะหาบะฮ ดังหลักฐานต่อไปนี้

وَرَوَى أَسَدُ بْنُ عَمْرٍو عَنْ أَبِي يُوسُفَ قَالَ : سَأَلْتُ أَبَا حَنِيفَةَ عَنِ التَّرَاوِيحِ وَمَا فَعَلَهُ عُمَرُ ؟ فَقَالَ : التَّرَاوِيحُ سُنَّةٌ مُؤَكَّدَةٌ وَلَمْ يَتَخَرَّصْهُ عُمَرُ مِنْ تِلْقَاءِ نَفْسِهِ وَلَمْ يَكُنْ فِيهِ مُبْتَدِعًا ، وَلَمْ يَأْمُرْ بِهِ إِلَّا عَنْ أَصْلٍ لَدَيْهِ وَعَهْدٍ مِنْ رَسُولِ اللَّهِ - صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ - ، وَلَقَدْ سَنَّ عُمَرُ هَذَا وَجَمَعَ النَّاسَ عَلَى أُبَيِّ بْنِ كَعْبٍ فَصَلَّاهَا جَمَاعَةً وَالصَّحَابَةُ مُتَوَافِرُونَ : مِنْهُمْ عُثْمَانُ وَعَلِيٌّ وَابْنُ مَسْعُودٍ وَالْعَبَّاسُ وَابْنُهُ وَطَلْحَةُ وَالزُّبَيْرُ وَمُعَاذٌ وَأُبَيٌّ وَغَيْرُهُمْ مِنَ الْمُهَاجِرِينَ وَالْأَنْصَارِ ، وَمَا رَدَّ عَلَيْهِ وَاحِدٌ مِنْهُمُ ، بَلْ سَاعَدُوهُ وَوَافَقُوهُ وَأَمَرُوا بِذَلِكَ

และรายงานโดย อะสัด บุตร อัมริน จากอบี ยูซูบ กล่าวว่า “ข้าพเจ้าถามอบูหะนีฟะอ เกี่ยวกับตะรอเวียะ และสิ่งที่ ท่านอุมัร ได้กระทำ แล้วท่านกล่าวว่า “ ละหมาดตะรอเวียะ เป็นสุนนะฮมุอักกะดะฮ โดยที่ท่านอุมัรไม่ได้กุเรื่องเท็จขึ้นมาจากตัวท่านเอง ท่านไม่ได้เป็นผู้อุตริ(ผู้ทำบิดอะฮ)ในเรื่องนั้น และท่านไม่ได้ใช้ให้กระทำ นอกจากมี หลักฐาน ณ ที่ท่าน และ เป็นคำสั่งจากท่านรซูลลุลลอฮ ศ็อลลอ็ลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และแท้จริงท่านอุมัร ได้ทำแบบอย่างนี้ขึ้นมา โดยรวมผู้คน ให้ละหมาดภายใต้การเป็นอิหม่ามของท่านกะอับ แล้วได้ทำการละหมาดนั้น(ละหมาดตะรอเวียะ) ในรูปของการละหมาดญะมาอะฮ โดยที่บรรดาเศาะหาบะฮจำนวนมากมาย จากชาวมุฮาญิรีนและชาวอันศอรฺ และไม่มีคนใดจากพวกเขาคัดค้านท่าน(อุมัร)เลย ตรงกันข้าม พวกเขากลับสนับสนุนท่าน พวกเขาเห็นฟ้องกับท่านและ พวกเขาใช้ให้กระทำเรื่องดังกล่าว

- ดู อัลอิคติยารอต ลิตะอฺลีลิลมุคตัร ของอัลมูศิลีย์ อัลหะนะฟีย์ เล่ม 1 หน้า 94
............

สิ่งที่เป็นมติเห็นฟ้องของเหล่าเศาะหาบะฮ มันจะเป็นบิดอะฮได้อย่างไร
5. สุนนะฮของเคาะลิฟะฮอัรรอชิดีน ไม่ใช่บิดอะฮ แต่เป็นสุนนะฮที่นบี ศอลฯ สอนให้ปฏิบัติตาม
ดังหะดิษ

ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมเองที่กล่าวว่า
..
مَنْ يَعِشْ مِنْكُمْ فَسَيَرَى اخْتِلاَفاً كَثِيْرًا فعَلَيْكُمْ بِسُنَّتِىْ وَسُنَّةِ الْخُلَفَاءِ الرَّاشِدِيْنَ الْمَهْدِيِّيْنَ مِنْ بَعْدِىْ عَضُّوْا عَلَيْهَا بِالنَّوَاجِذِ ....
“พวกท่านคนใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ต่อไปเขาก็จะได้เห็นความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างมากมาย ดังนั้น หน้าที่ของพวกท่านก็คือ การปฏิบัติตามซุนนะฮ์ของฉัน, และซุนนะฮ์ของคอลีฟะฮ์ผู้ปราดเปรื่องและทรงคุณธรรมหลังจากฉัน, จงกัดมัน (ซุนนะฮ์ของฉันและซุนนะฮ์ของคอลีฟะฮ์ของฉัน) ให้แน่นด้วยฟันกราม ..... ”
..................................
จากรายละเอียดข้างต้น แสดงให้เห็นว่า การอ้างว่า เคาะลิฟะฮอุมัรทำบิดอะฮที่ดี เพื่อหาความชอบทำในการอุตริบิดอะฮนั้นเป็นการอ้างที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2559

อะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮในทัศนะปราชญ์ยุคสะลัฟ


อะฮลุสสุนนะฮวัลญะมาอะฮในทัศนะปราชญ์ยุคสะลัฟ

อัลลามะฮ อัลบัรบะฮารีย์ (ฮ.ศ 329) กล่าวว่า

والسنة ما سنه رسول الله صلى الله عليه وسلم والجماعة ما اجتمع عليه أصحاب رسول الله صلى الله عليه وسلم في خلافة أبي بكر وعمر وعثمان .

และสุนนะฮคือ สิ่งที่รซูลุลลอฮ ศอ็ลฯได้กำหนดมันเอาไว้ให้เป็นแนวทาง และอัลญะมาอะฮคือ สิ่ง(แนวทาง)ที่บรรดาสาวกของรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ ในยุคเคาะลิฟะฮ อบีบักร์, อุมัร และอุษมาน ได้ลงมติอยู่บนมัน
[شرح السنة الحسن البربهاري ج1/ص45 ]

รักอัลลอฮ ต้องอยู่บนแนวทางของนบีมุหัมหมัด


รักอัลลอฮ ต้องอยู่บนแนวทางของนบีมุหัมหมัด

การที่เรานับถือศาสนา โดยมีเป้าสูงสุดในชีวิต คือ ความโปรดปรานจากอัลลอฮ ในโลกนี้และโลกหน้า เราไม่ได้นับถือศาสนาเพื่อตามอารมณ์ตนเอง หรือ อารมณ์ของความหลากหลายของคนในดุนยา หรือ เพื่อพวกฟ้องและมัซฮับ เพราะฉะนั้น การแสวงหาความโปรดปรานของอัลลอฮ นั้น เราต้องพยายามแสวงหาแนวทางที่จะทำให้ใกล้ชิดต่อพระองค์ นั้น คือ การปฏิบัติตามสิ่งใดก็ตามที่เป็นสุนนะฮของท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม

قُلْ إِنْ كُنْتُمْ تُحِبُّونَ اللَّهَ فَاتَّبِعُونِي يُحْبِبْكُمُ اللَّهُ وَيَغْفِرْ لَكُمْ ذُنُوبَكُمْ وَاللَّهُ غَفُورٌ رَحِيمٌ

จงประกาศเถิด(โอ้มุหัมหมัด) ว่า “หากพวกท่านรักอัลลอฮ จงปฏิบัติตามฉัน อัลลอฮก็จะรักพวกท่านและอภัยความผิดของพวกท่าน ให้แก่พวกท่าน และอัลลอฮ คือ ผู้ทรงอภัยและเมตตายิ่ง – อาลิอิมรอน/31
ท่านอิบนุกะษีร อธิบายว่า

هَذِهِ الْآيَةُ الْكَرِيمَةُ حَاكِمَةٌ عَلَى كُلِّ مَنِ ادَّعَى مَحَبَّةَ اللَّهِ ، وَلَيْسَ هُوَ عَلَى الطَّرِيقَةِ الْمُحَمَّدِيَّةِ فَإِنَّهُ كَاذِبٌ فِي دَعْوَاهُ فِي نَفْسِ الْأَمْرِ ، حَتَّى يَتَّبِعَ الشَّرْعَ الْمُحَمَّدِيَّ وَالدِّينَ النَّبَوِيَّ فِي جَمِيعِ أَقْوَالِهِ وَأَحْوَالِهِ ، كَمَا ثَبَتَ فِي الصَّحِيحِ عَنْ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنَّهُ قَالَ : " مَنْ عَمِلَ عَمَلًا لَيْسَ عَلَيْهِ أَمْرُنَا فَهُوَ رَدٌّ

อายะฮอันทรงเกียรตินี้ คือ ผู้ตัดสิน (เอาผิด)บน ทุกๆคน ที่อ้างว่ารักอัลลอฮ โดยที่เขาไม่ได้อยู่บนแนวทางของมุหัมหมัด ,ในความเป็นจริง เขาคือ ผู้กล่าวเท็จในการอ้างของเขา จนกว่า เขาจะเจริญรอยตามบัญญัติแห่งมุหัมหมัด และศาสนาแห่งนบี ในบรรดาคำพูดและการกระทำของเขาทั้งหมด ดังหะดิษที่ยืนยันไว้ในอัศเศาะเฮียะ จากท่านรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ผู้ใดประกอบการงาน(อะมั้ลอิบาดะฉ)ใด ที่ไม่ใช่กิจการของเราบนมัน มันถูกปฏิเสธ”
- ดู ตัฟสีรอิบนุกะษีร เล่ม 2 หน้า 33
والله أعلم بالصواب